ASTVผู้จัดการรายวัน - "นริศ"เผยผลการสอบสวนกรณีทุจริตธอส. 499 ล้านในเบื้องต้น ระบุนอกจากการทุจริตของพนง.แล้ว ยังขาดความเข้าใจระบบ CBS และขาดการประสานงานที่ดี พร้อมประชุมสรุปผลปลายสัปดาห์เพื่อเสนอรมช.คลัง-ชี้ชัดตัวบุคคลต่อไป ลั่นงานนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบแน่นอน ด้าน"ขรรค์ ประจวบเหมาะ"โต้ไม่เป็นความจริงกรณีผู้บริหารระดับสูงประมาทร้ายแรง ยันคณะกรรมการชุดนี้ไม่มีหน้าที่ชี้ใครทำผิดวินัย
นายนริศ ชัยสูตร ประธานธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า ผลการสอบสวนการทุจริตในธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวนเงิน 499 ล้านบาท ที่มีนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ขณะนี้คณะกรรมการฯได้ดำเนินการสอบสวนพยานบุคคลเสร็จสิ้นแล้ว โดยได้มีการสอบสวนตั้งแต่เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงถึงผู้ปฏิบัติงาน และคณะกรรมการสอบสวนฯเตรียมประชุมขั้นสุดท้ายปลายสัปดาห์หน้าเพื่อสรุปการสอบสวนทั้งหมด โดยจะพิจารณาทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคล
ทั้งนี้ จากการสอบสวนดังกล่าวคณะกรรมการฯพบในเบื้องต้นว่า การทุจริตดังกล่าวนอกจากเกิดจากพนักงานไม่สุจริตแล้วยังเกิดจากความไม่พร้อม การขาดการสื่อสารในองค์กรที่ดี และการขาดความเข้าใจในระบบ Core Banking System (CBS) อย่างเพียงพอ นอกจากนั้น ระบบการกำกับดูแลและการตรวจสอบยังต้องมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอีก ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบในแต่ละส่วน
สำหรับขั้นตอนต่อไป นายนริศกล่าวว่า จะต้องมีการระบุบุคคลที่กระทำทุจริตและที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต หรือมีส่วนให้เกิดการทุจริต ซึ่งเมื่อได้บุคคลดังกล่าวแล้วจะส่งกรรมการสอบสวนวินัยให้ดำเนินการต่อไป
นริศกล่าวในที่สุดว่า กรณีนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบแน่นอน แต่การสอบสวนอาจจะช้าไปบ้างแต่อยู่ในระยะเวลาที่ขอนายประดิษฐ์ ภัทรประเสริฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังไว้ เพราะต้องการให้เกิดความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย
ด้านนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส.กล่าวปฏิเสธกรณีที่ปรากฏข่าวว่า คณะกรรมการสอบสวนได้ทำการสอบสวนพบว่าผู้บริหารระดับสูงของ ธอส.กระทำการโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงส่งผลให้เกิดการทุจริตฉ้อโกงเงินของธนาคารไปกว่า 499 ล้านบาทนั้นว่าไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนชุดดังกล่าวมีหน้าที่ในการสอบสวนข้อเท็จจริง แต่ไม่มีหน้าที่พิจารณาว่า บุคคลใดกระทำความผิดทางวินัยหรือไม่
นอกจากนี้ การดำเนินงานของคณะกรรมการดังกล่าวได้ขอขยายระยะเวลาเสนอผลการสอบสวนต่อคณะกรรมการธนาคารออกไปจนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2552 คณะกรรมการธนาคารจะทำการพิจารณาผลการสอบสวนและเสนอต่อกระทรวงการคลังให้ทำการพิจารณาต่อไป หลังจากนั้น หากกระทรวงเห็นว่าจำเป็นต้องทำการทำการสอบสวนทางวินัยผู้ที่เกี่ยวข้อง กระทรวงการคลังก็จะทำการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำการสอบสวนทางวินัยต่อไป
อย่างไรก็ตาม กรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางละเมิดอีกชุดหนึ่ง และกระบวนการดังกล่าวยังมิได้เกิดขึ้นในขณะนี้
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการทุจริตของพนักงานธอส.กว่า 499 ล้านบาท ที่มีนางโสภาวดีเลิศมนัสชัย เป็นประธานตรวจสอบได้เชิญ นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการธอส. มาสอบการทุจริตของเจ้าหน้าที่เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมถึงตรวจสอบไม่พบ ทำให้เจ้าหน้าที่ทำการทุจริตเป็นเวลาติดต่อกันถึง 2 ปี เป็นเงินที่เสียหายจำนวนมาก รวมทั้งคณะกรรมการได้มีการสอบข้อเท็จจริงจากผู้บริหารระดับรอง และระดับผู้ช่วยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเด็นการทุจริตผิดพลาดเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีส่วนไหนที่เข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง สาเหตุธนาคารถึงไม่สามารถตรวจพบการทุจริต หรือเกิดกรณีการสมรู้ร่วมคิดปล่อยให้เจ้าหน้าที่เข้าไปทำทุจริตสร้างความเสียหายกับธนาคารหรือไม่
โดยล่าสุดมีข่าวว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ข้อสรุปในเบื้องต้นหลังสอบพยานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 30 ปากไม่พบว่ามีผู้บริหารของธอส.เข้าไปเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินจำนวน 499 ล้านบาท แต่มีการบ่งชี้ว่าผู้บริหารระดีบสูงของธนาคารไม่มีการสั่งการให้ปิดความเสี่ยงหรือปิดช่องว่างของระบบคอมพิวเตอร์ ระบบบัญชีของสำนักงานใหญ่ และสาขา ซึ่งเป็นถือเป็นความประมาทเลิ่นเล่อจนทำให้เกิดช่องโหว่และเกิดการทุจริตดังกล่าว
นายนริศ ชัยสูตร ประธานธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า ผลการสอบสวนการทุจริตในธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวนเงิน 499 ล้านบาท ที่มีนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ขณะนี้คณะกรรมการฯได้ดำเนินการสอบสวนพยานบุคคลเสร็จสิ้นแล้ว โดยได้มีการสอบสวนตั้งแต่เจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงถึงผู้ปฏิบัติงาน และคณะกรรมการสอบสวนฯเตรียมประชุมขั้นสุดท้ายปลายสัปดาห์หน้าเพื่อสรุปการสอบสวนทั้งหมด โดยจะพิจารณาทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคล
ทั้งนี้ จากการสอบสวนดังกล่าวคณะกรรมการฯพบในเบื้องต้นว่า การทุจริตดังกล่าวนอกจากเกิดจากพนักงานไม่สุจริตแล้วยังเกิดจากความไม่พร้อม การขาดการสื่อสารในองค์กรที่ดี และการขาดความเข้าใจในระบบ Core Banking System (CBS) อย่างเพียงพอ นอกจากนั้น ระบบการกำกับดูแลและการตรวจสอบยังต้องมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอีก ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบในแต่ละส่วน
สำหรับขั้นตอนต่อไป นายนริศกล่าวว่า จะต้องมีการระบุบุคคลที่กระทำทุจริตและที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต หรือมีส่วนให้เกิดการทุจริต ซึ่งเมื่อได้บุคคลดังกล่าวแล้วจะส่งกรรมการสอบสวนวินัยให้ดำเนินการต่อไป
นริศกล่าวในที่สุดว่า กรณีนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบแน่นอน แต่การสอบสวนอาจจะช้าไปบ้างแต่อยู่ในระยะเวลาที่ขอนายประดิษฐ์ ภัทรประเสริฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังไว้ เพราะต้องการให้เกิดความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย
ด้านนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส.กล่าวปฏิเสธกรณีที่ปรากฏข่าวว่า คณะกรรมการสอบสวนได้ทำการสอบสวนพบว่าผู้บริหารระดับสูงของ ธอส.กระทำการโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงส่งผลให้เกิดการทุจริตฉ้อโกงเงินของธนาคารไปกว่า 499 ล้านบาทนั้นว่าไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนชุดดังกล่าวมีหน้าที่ในการสอบสวนข้อเท็จจริง แต่ไม่มีหน้าที่พิจารณาว่า บุคคลใดกระทำความผิดทางวินัยหรือไม่
นอกจากนี้ การดำเนินงานของคณะกรรมการดังกล่าวได้ขอขยายระยะเวลาเสนอผลการสอบสวนต่อคณะกรรมการธนาคารออกไปจนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2552 คณะกรรมการธนาคารจะทำการพิจารณาผลการสอบสวนและเสนอต่อกระทรวงการคลังให้ทำการพิจารณาต่อไป หลังจากนั้น หากกระทรวงเห็นว่าจำเป็นต้องทำการทำการสอบสวนทางวินัยผู้ที่เกี่ยวข้อง กระทรวงการคลังก็จะทำการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำการสอบสวนทางวินัยต่อไป
อย่างไรก็ตาม กรณีความเสียหายที่เกิดขึ้นจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางละเมิดอีกชุดหนึ่ง และกระบวนการดังกล่าวยังมิได้เกิดขึ้นในขณะนี้
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการทุจริตของพนักงานธอส.กว่า 499 ล้านบาท ที่มีนางโสภาวดีเลิศมนัสชัย เป็นประธานตรวจสอบได้เชิญ นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการธอส. มาสอบการทุจริตของเจ้าหน้าที่เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมถึงตรวจสอบไม่พบ ทำให้เจ้าหน้าที่ทำการทุจริตเป็นเวลาติดต่อกันถึง 2 ปี เป็นเงินที่เสียหายจำนวนมาก รวมทั้งคณะกรรมการได้มีการสอบข้อเท็จจริงจากผู้บริหารระดับรอง และระดับผู้ช่วยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเด็นการทุจริตผิดพลาดเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีส่วนไหนที่เข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง สาเหตุธนาคารถึงไม่สามารถตรวจพบการทุจริต หรือเกิดกรณีการสมรู้ร่วมคิดปล่อยให้เจ้าหน้าที่เข้าไปทำทุจริตสร้างความเสียหายกับธนาคารหรือไม่
โดยล่าสุดมีข่าวว่า คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ข้อสรุปในเบื้องต้นหลังสอบพยานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 30 ปากไม่พบว่ามีผู้บริหารของธอส.เข้าไปเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินจำนวน 499 ล้านบาท แต่มีการบ่งชี้ว่าผู้บริหารระดีบสูงของธนาคารไม่มีการสั่งการให้ปิดความเสี่ยงหรือปิดช่องว่างของระบบคอมพิวเตอร์ ระบบบัญชีของสำนักงานใหญ่ และสาขา ซึ่งเป็นถือเป็นความประมาทเลิ่นเล่อจนทำให้เกิดช่องโหว่และเกิดการทุจริตดังกล่าว
