ASTVผู้จัดการรายวัน – “ทีเอ็นเอส” เผยพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน มีเวลาเดินชอปปิ้งลดลง แนะเจ้าของสินค้าควรปรับวิธีการขายรับมือ จัดชั้นวางสินค้าให้น่าสนใจ ชี้ไฮเปอร์มาร์เก็ตโต เป็นช่องทางซื้อที่โตมากสุด เหตุเมืองไทยยังไม่อิ่มตัว
นายเฮิร์บ โซเรนเซน Global Scientific Diretor บริษัท ไทเลอร์ เนลสัน ซอฟเฟรส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ทีเอ็นเอส เป็นบริษัทวิจัยการตลาด เปิดเผยว่า จากการสัมมนาเรื่อง “Inside the Mild of the Shopper” ซึ่งเป็นผลการวิจัยทั่วโลก เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภค เกี่ยวกับการเข้าไปจับจ่ายซื้อของภายในไฮเปอร์มาร์เก็ต พบว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะมีเวลาในการชอปปิ้งน้องลง โดยเฉพาะผู้บริโภคในแถบเอเชียอีกทั้งสินค้าที่ซื้อนั้น ก็จะมีจำนวนไม่สูงมาก และจะเป็นการคิดไว้ก่อนแล้วว่าจะมาซื้ออะไร
โดยรายละเอียดของงานวิจัยในครั้งนี้ พบว่า ยอดขายภายในไฮเปอร์มาร์เก็ต จะมาจากลูกค้าที่ซื้อของเพียง 1-5 ชิ้น 50% และอีก 50% จะเป็นกลุ่มที่ซื้อในจำนวนมากๆ นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า ภายในไฮเปอร์มาร์เก็ตในปัจจุบัน จะมีสินค้าให้ลูกค้าเลือกหลากหลายมาก พื้นที่ขายค่อนข้างกว้าง ซึ่งผิดกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความเร่งรีบมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้ากว่า 58%ที่เข้ามาใช้บริการ เสียเวลาในการเดินหาสินค้า
และอีกกว่า 31% ของจำนวนดังกล่าวยังเสียเวลาเพิ่มขึ้นในของในการเลือกสินค้า เพราะในชั้นวางสินค้าเดียวกัน มีหลายแบรนด์ให้เลือก และอีก 11% ยังต้องเสียเวลาพิจารณาในการตัดสินใจซื้อสูงขึ้นด้วย ซึ่งการเสียเวลาดังกล่าวแบบนี้ กลับทำให้การปิดยอดขายได้น้อยลง กล่าวคือ ยิ่งมีเวลามาก การซื้อยิ่งลดลง โดยเทียบแล้ว ใน 1 ชั่วโมง การซื้อต่อบิล อยู่ที่ประมาณ 55 ดอลล่าร์ แต่หากลูกค้ามีเวลาซื้อเพียง 5 นาที กลับมียอดซื้อเฉลี่ยประมาณ 20 ดอลล่าห์ต่อบิล
ดังนั้นทางบริษัทจึงแนะว่า 1.เจ้าของสินค้าควรที่จะมีการจัดวางสินค้าให้ใกล้กับผู้บริโภคมากสุด ในพื้นที่การขายที่ไม่เสียเวลาเดินหามากนัก 2.ทางไฮเปอร์มาร์เก็ตควรช่วยลูกค้าให้มีการตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น เช่น การติดป้ายแนะถึงสินค้าขายดี ไม่ควรจะมีเกิน 3 ป้าย ในแต่ละชั้น นอกจากนี้ควรที่จะคัดสรรแบรนด์ที่โดดเด่นมาวางจำหน่าย
มากกว่าการมีสินค้าให้เลือกมากจนเกินไป จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งกลยุทธ์นี้ มั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ลูกค้าเพิ่มขึ้นได้อีก 3-6% ต่อปี
นายเฮิร์บ กล่าวต่อว่า การที่ผู้บริโภคเปลี่ยนไปนี้ ไฮเปอร์มาร์เก็ต โดยเฉพาะในประเทศไทย เริ่มเห็นได้ว่ามีการปรับตัวเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น เช่น การปรับโมเดลร้านให้มีขนาดเล็กลง มีจำนวนสินค้าให้เลือกไม่มาก เช่น เทสโก้โลตัส ซึ่งมีโมเดลร้าน ที่ชื่อ เทสโก้โลตัส เอ็กซ์เพรส
อย่างไรก็ตามเมื่อมองภาพรวมไฮเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทยแล้ว พบว่าเป็นช่องทางในการซื้อสินค้าที่โตมากสุด เหตุยังอยู่ในการขยายตัว คนไทยยังให้การตอบรับดีอยู่ พร้อมทั้งคนไทยยังใช้การช้อปปิ้งเป็นเรื่องของเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ภายในครอบครัวมากขึ้น ถึงแม้ว่าจำนวนการซื้อสินค้าจะไม่สูงมากก็ตาม
นายเฮิร์บ โซเรนเซน Global Scientific Diretor บริษัท ไทเลอร์ เนลสัน ซอฟเฟรส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ทีเอ็นเอส เป็นบริษัทวิจัยการตลาด เปิดเผยว่า จากการสัมมนาเรื่อง “Inside the Mild of the Shopper” ซึ่งเป็นผลการวิจัยทั่วโลก เกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภค เกี่ยวกับการเข้าไปจับจ่ายซื้อของภายในไฮเปอร์มาร์เก็ต พบว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะมีเวลาในการชอปปิ้งน้องลง โดยเฉพาะผู้บริโภคในแถบเอเชียอีกทั้งสินค้าที่ซื้อนั้น ก็จะมีจำนวนไม่สูงมาก และจะเป็นการคิดไว้ก่อนแล้วว่าจะมาซื้ออะไร
โดยรายละเอียดของงานวิจัยในครั้งนี้ พบว่า ยอดขายภายในไฮเปอร์มาร์เก็ต จะมาจากลูกค้าที่ซื้อของเพียง 1-5 ชิ้น 50% และอีก 50% จะเป็นกลุ่มที่ซื้อในจำนวนมากๆ นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า ภายในไฮเปอร์มาร์เก็ตในปัจจุบัน จะมีสินค้าให้ลูกค้าเลือกหลากหลายมาก พื้นที่ขายค่อนข้างกว้าง ซึ่งผิดกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความเร่งรีบมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้ากว่า 58%ที่เข้ามาใช้บริการ เสียเวลาในการเดินหาสินค้า
และอีกกว่า 31% ของจำนวนดังกล่าวยังเสียเวลาเพิ่มขึ้นในของในการเลือกสินค้า เพราะในชั้นวางสินค้าเดียวกัน มีหลายแบรนด์ให้เลือก และอีก 11% ยังต้องเสียเวลาพิจารณาในการตัดสินใจซื้อสูงขึ้นด้วย ซึ่งการเสียเวลาดังกล่าวแบบนี้ กลับทำให้การปิดยอดขายได้น้อยลง กล่าวคือ ยิ่งมีเวลามาก การซื้อยิ่งลดลง โดยเทียบแล้ว ใน 1 ชั่วโมง การซื้อต่อบิล อยู่ที่ประมาณ 55 ดอลล่าร์ แต่หากลูกค้ามีเวลาซื้อเพียง 5 นาที กลับมียอดซื้อเฉลี่ยประมาณ 20 ดอลล่าห์ต่อบิล
ดังนั้นทางบริษัทจึงแนะว่า 1.เจ้าของสินค้าควรที่จะมีการจัดวางสินค้าให้ใกล้กับผู้บริโภคมากสุด ในพื้นที่การขายที่ไม่เสียเวลาเดินหามากนัก 2.ทางไฮเปอร์มาร์เก็ตควรช่วยลูกค้าให้มีการตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น เช่น การติดป้ายแนะถึงสินค้าขายดี ไม่ควรจะมีเกิน 3 ป้าย ในแต่ละชั้น นอกจากนี้ควรที่จะคัดสรรแบรนด์ที่โดดเด่นมาวางจำหน่าย
มากกว่าการมีสินค้าให้เลือกมากจนเกินไป จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งกลยุทธ์นี้ มั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ลูกค้าเพิ่มขึ้นได้อีก 3-6% ต่อปี
นายเฮิร์บ กล่าวต่อว่า การที่ผู้บริโภคเปลี่ยนไปนี้ ไฮเปอร์มาร์เก็ต โดยเฉพาะในประเทศไทย เริ่มเห็นได้ว่ามีการปรับตัวเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น เช่น การปรับโมเดลร้านให้มีขนาดเล็กลง มีจำนวนสินค้าให้เลือกไม่มาก เช่น เทสโก้โลตัส ซึ่งมีโมเดลร้าน ที่ชื่อ เทสโก้โลตัส เอ็กซ์เพรส
อย่างไรก็ตามเมื่อมองภาพรวมไฮเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทยแล้ว พบว่าเป็นช่องทางในการซื้อสินค้าที่โตมากสุด เหตุยังอยู่ในการขยายตัว คนไทยยังให้การตอบรับดีอยู่ พร้อมทั้งคนไทยยังใช้การช้อปปิ้งเป็นเรื่องของเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ภายในครอบครัวมากขึ้น ถึงแม้ว่าจำนวนการซื้อสินค้าจะไม่สูงมากก็ตาม