ต้องยอมรับว่า รูปแบบรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น แปลกหูแปลกตาดี..
เริ่มตั้งแต่นายกฯ อภิสิทธิ์ “เดี่ยวไมโครโฟน” ตามด้วยพิธีกรคู่รับเชิญ ซึ่งเป็นคุณหมอ “หล่อเก่ง” และน้องนุ้ย อดีตนางสาวไทย และปิดท้ายด้วยนักข่าวสาวสายความมั่นคงอย่าง “คุณเล็ก” วาสนา นาน่วม (เจ้าของพอกเกตบุ๊กตระกูลลับลวงพราง ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า..) นั่งสนทนากับนายกฯ ในรถกันกระสุนขณะเดินทางกลับจากสมุทรสาครกลับเข้าทำเนียบรัฐบาล
รูปแบบรายการแบบนี้นานๆ ครั้งก็แปลกหูแปลกตาน่าดูชม แต่ถ้าทำบ่อยๆอาจจะทำให้นายกฯ ของเรากลายเป็นดารานักแสดงมากเกินไป คุณค่าและความน่าเคารพเชื่อถืออาจจะด้อยลงก็ได้
ก็ฝากเป็นข้อสังเกตไว้ด้วยความเคารพ
ในเนื้อรายการทั้งหมดที่ผมชื่นชอบนายกฯ อภิสิทธิ์มากที่สุดก็ตอนตอบคำถามคุณวาสนา นาน่วม กรณีคนร้ายถล่มมัสยิดที่บ้านปาแยร์ อ.เจาะไอร้อง นราธิวาส ท่านนายกฯ พูดถึงคนร้ายที่ก่อเหตุว่า..รัฐบาลไม่มีนโยบายและไม่สั่งให้ใครไปก่อเหตุร้ายเช่นนั้นแน่ แต่อย่างไรก็ตามยังไม่ตัดทิ้งใครกลุ่มไหนจนกว่าจะจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้..
นี่สิ มวยหลักในการให้สัมภาษณ์ ในการตอบคำถาม รับรองไม่มีหลุด ไม่มีการ์ดตก...
ถ้าไปเปรียบเทียบกับท่านรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ของผม รายนั้นแม้จะพยายามสุขุมคัมภีรภาพเวลาให้สัมภาษณ์แค่ไหนก็ตาม แต่พอลุยงานหนัก ธรรมชาติและตัวตนจริงๆ ก็จะแสดงออกมา นั่นคือจะออกสไตล์กำนัน นักเลงลูกทุ่ง รู้สึกอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น...อุตส่าห์ไปตรวจราชการถึงมัสยิดที่เกิดเหตุ พอถูกไมโครโฟนแหย่คำถามว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องหรือไม่เท่านั้นแหละ...รีบรับประกันซ่อมฟรีทันทีว่าเจ้าหน้าที่ลูกน้องของผมไม่เกี่ยวข้องแน่ๆ คนที่ทำมันต้องการเสี้ยมให้ไทยพุทธไทยมุสลิมเกลียดชังกัน...
ถ้าเป็นเรื่องทั่วๆ ไป คงไม่เสียหายอะไรเท่าไหร่หรอก แต่เรื่องปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องบอกว่าท่านรองฯ สุเทพพลาด!!
ถ้าวันข้างหน้าจับคนร้ายตัวจริงเสียงจริงได้ แล้วพบว่าเป็นพวกโจรก่อการร้ายหรือพวกก่อความไม่สงบที่วนเวียนปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด ก็พอจะเยียวยาความเสียหายไว้ได้บ้าง
แต่ถ้ากลุ่มคนร้ายมีเจ้าหน้าที่หรืออดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐผสมโรงอยู่ด้วยล่ะจะว่ายังไง!?
จะอย่างไรก็ตาม...กรณีปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ท่านรองฯ สุเทพและรวมทั้งท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่อาจที่จะแยกความรับผิด-ชอบออกจากกันได้ ดังนั้นจากนี้ไปกรณีถล่มมัสยิด 11 ศพ จะเป็นกรณีพิสูจน์ศักยภาพความจริงใจและมุ่งมั่นในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดของทั้งสองท่าน
รีบไขลานเจ้าหน้าที่ให้จับคนร้ายมาให้ได้ แต่ต้องไม่จับแพะ...และไม่ว่ามันผู้นั่นจะเป็นใครต้องนำมาบอกกล่าวกับพี่น้อง 3จังหวัดและคนไทยทั้งประเทศให้ทราบโดยทั่วกัน เพราะถ้ารัฐไม่สามารถจับกุมคนร้ายชุดนี้ได้กรณีนี้จะกลายเป็นบาดแผลลึก และบาดแผลนี้จะเป็นเงื่อนไขจุดไฟก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ลุกโชนอย่างน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน..
เมื่อวาน (16 มิ.ย.)ได้สัมภาษณ์ท่านน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตรมว.ต่างประเทศและอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งคนรุ่นปัจจุบันบางกลุ่มอาจจะมองว่าท่านเป็น “ซีไอเอเมืองไทย” ที่ชำรุดแล้วหมดอายุใช้งานแล้ว แต่ผมกลับมองตรงข้าม ผมเห็นว่าข้อสังเกต –มุมมองของท่านน.ต.ประสงค์น่ารับฟังเป็นอย่างมาก ไม่เชื่อก็ลองย้อนไปฟังในหัวข้อข่าว “ประสงค์” จี้รัฐรื้อหน่วยข่าวกรองใต้ เตือนสงครามรูปแบบใหม่ แย่งชิงฐานมวลชน
สาระสำคัญที่น.ต.ประสงค์บอกกล่าวก็คือปัจจุบันสถานการณ์ได้ก้าวเข้าสู่รูปแบบใหม่ของการก่อการร้ายที่ใช้เครือข่ายปฏิบัติการ สร้างอำนาจรัฐซ้อนอำนาจรัฐ ไม่ชูธงแยกดินแดน แต่มุ่งในการแย่งและแยกประชาชนซึ่งหากทำสำเร็จมันก็คือการแยกดินแดนไปโดยปริยายนั่นเอง
และเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ได้มีโอกาสไปนั่งฟังการเสวนาในหัวข้อง “รัฐบาลล่มแน่ ถ้าไม่แก้วิกฤต” ที่ธรรมศาสตร์ บรรดาผู้รู้ที่ขึ้นเวทีก็ยอมรับว่า นอกเหนือจากปัญหาเศรษฐกิจ การทุจริตคอร์รัปชัน (เช่นกรณีรถเมล์เอ็นจีวี) แล้ว ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาวิกฤต..
คุณไพศาล พืชมงคล หนึ่งในวิทยากรเสนอแนวทาง-มาตรการดับไฟใต้ไว้ 3 ประการ
1) ต้องประกาศเป็นวาระแห่งชาติ นายกฯ เป็นผู้นำในการแก้ปัญหา
2) รีบหยุดยั้งเหตุร้ายต่างๆ ให้ได้
3) ตั้งคณะทำงานประสานกับองค์กรระดับสากลของมุสลิมโลก ซึ่งสันนิบาตประเทศมุสลิมโลก (โอไอซี) เป็น 1 ใน 3 องค์กรที่สำคัญ
เมื่อสัปดาห์ก่อนผมได้เสนอความเห็นมาตรการแก้ปัญหาภาคใต้ไว้เป็นสังเขปแล้ว และได้แสดงความเชื่อมั่นเป็นการส่วนตัวว่า นายกฯ อภิสิทธิ์เป็นผู้นำประเทศที่น่าจะมีความรู้ความเข้าใจในปัญหาภาคใต้เป็นอย่างดี และที่มากกว่าความรู้ความเข้าใจก็คือความมุ่งมั่นและความจริงใจในการแก้ปัญหา
แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ผมและคนอีกมากมายเชื่อมั่นจะไร้ค่าในทันที ถ้ารัฐบาลไม่สามารถลากคอคนร้ายที่ถล่มมัสยิดมาลงโทษได้
ครับ ในส่วนที่รัฐบาลจะใส่เงินพัฒนา 3 -4 จังหวัดอีกกี่หมื่นล้านบาทก็ว่ากันไปตามความเหมาะสม ความจำเป็นเถอะครับไม่มีใครว่า แต่รัฐบาล และท่านนายกฯ ต้องไม่ลืมว่าเกือบ 6 ปีที่ผ่านมาเราใช้งบประมาณไปแล้ว 1 แสนล้านบาทเศษ แต่มีผู้คนล้มตายไปแล้วร่วม 4 พันชีวิต ไฟใต้ยังลุกโชน นั่นย่อมแสดงว่าเราเดินมาผิดทิศผิดทางหรือยังไม่ “เข้าใจ เข้าถึง” อย่างแน่นอน
ถ้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง แล้วจะ “พัฒนา” ให้ถูกจุดถูกต้องได้อย่างไร...
.......................
ในการเสวนาที่ธรรมศาสตร์ ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีนิด้า บอกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ยังไม่ล่มในปี 2552 นี้แน่ เพราะฝ่ายค้านอ่อนแอ ผู้นำตัวจริงยังระเหเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ...:ซึ่งผมก็ค่อนข้างจะเห็นด้วย
แต่สำหรับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้โจรใต้ไม่อ่อนแอแน่นอน และที่สำคัญรัฐบาลหรือแม้แต่นายกฯ เองก็ยังไม่รู้เลยว่าใครคือผู้นำโจร และเรากำลังรบอยู่กับใคร!?
ตั้งสติดีๆ หาคำตอบชัดๆ จัดลำดับความสำคัญปัญหาก่อนหลัง ระดมพลังที่เป็นเอกภาพร่วมกันดับไฟใต้อย่างมีทิศทาง อย่างเข้าใจ เข้าถึงปัญหาจริงๆ กันอีกสักครั้งเถอะครับท่านนายกฯ
ที่ทำมาก็ใช้ได้อยู่ แต่ยังไม่พอ....
เริ่มตั้งแต่นายกฯ อภิสิทธิ์ “เดี่ยวไมโครโฟน” ตามด้วยพิธีกรคู่รับเชิญ ซึ่งเป็นคุณหมอ “หล่อเก่ง” และน้องนุ้ย อดีตนางสาวไทย และปิดท้ายด้วยนักข่าวสาวสายความมั่นคงอย่าง “คุณเล็ก” วาสนา นาน่วม (เจ้าของพอกเกตบุ๊กตระกูลลับลวงพราง ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า..) นั่งสนทนากับนายกฯ ในรถกันกระสุนขณะเดินทางกลับจากสมุทรสาครกลับเข้าทำเนียบรัฐบาล
รูปแบบรายการแบบนี้นานๆ ครั้งก็แปลกหูแปลกตาน่าดูชม แต่ถ้าทำบ่อยๆอาจจะทำให้นายกฯ ของเรากลายเป็นดารานักแสดงมากเกินไป คุณค่าและความน่าเคารพเชื่อถืออาจจะด้อยลงก็ได้
ก็ฝากเป็นข้อสังเกตไว้ด้วยความเคารพ
ในเนื้อรายการทั้งหมดที่ผมชื่นชอบนายกฯ อภิสิทธิ์มากที่สุดก็ตอนตอบคำถามคุณวาสนา นาน่วม กรณีคนร้ายถล่มมัสยิดที่บ้านปาแยร์ อ.เจาะไอร้อง นราธิวาส ท่านนายกฯ พูดถึงคนร้ายที่ก่อเหตุว่า..รัฐบาลไม่มีนโยบายและไม่สั่งให้ใครไปก่อเหตุร้ายเช่นนั้นแน่ แต่อย่างไรก็ตามยังไม่ตัดทิ้งใครกลุ่มไหนจนกว่าจะจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้..
นี่สิ มวยหลักในการให้สัมภาษณ์ ในการตอบคำถาม รับรองไม่มีหลุด ไม่มีการ์ดตก...
ถ้าไปเปรียบเทียบกับท่านรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ของผม รายนั้นแม้จะพยายามสุขุมคัมภีรภาพเวลาให้สัมภาษณ์แค่ไหนก็ตาม แต่พอลุยงานหนัก ธรรมชาติและตัวตนจริงๆ ก็จะแสดงออกมา นั่นคือจะออกสไตล์กำนัน นักเลงลูกทุ่ง รู้สึกอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น...อุตส่าห์ไปตรวจราชการถึงมัสยิดที่เกิดเหตุ พอถูกไมโครโฟนแหย่คำถามว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องหรือไม่เท่านั้นแหละ...รีบรับประกันซ่อมฟรีทันทีว่าเจ้าหน้าที่ลูกน้องของผมไม่เกี่ยวข้องแน่ๆ คนที่ทำมันต้องการเสี้ยมให้ไทยพุทธไทยมุสลิมเกลียดชังกัน...
ถ้าเป็นเรื่องทั่วๆ ไป คงไม่เสียหายอะไรเท่าไหร่หรอก แต่เรื่องปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องบอกว่าท่านรองฯ สุเทพพลาด!!
ถ้าวันข้างหน้าจับคนร้ายตัวจริงเสียงจริงได้ แล้วพบว่าเป็นพวกโจรก่อการร้ายหรือพวกก่อความไม่สงบที่วนเวียนปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด ก็พอจะเยียวยาความเสียหายไว้ได้บ้าง
แต่ถ้ากลุ่มคนร้ายมีเจ้าหน้าที่หรืออดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐผสมโรงอยู่ด้วยล่ะจะว่ายังไง!?
จะอย่างไรก็ตาม...กรณีปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ท่านรองฯ สุเทพและรวมทั้งท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่อาจที่จะแยกความรับผิด-ชอบออกจากกันได้ ดังนั้นจากนี้ไปกรณีถล่มมัสยิด 11 ศพ จะเป็นกรณีพิสูจน์ศักยภาพความจริงใจและมุ่งมั่นในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดของทั้งสองท่าน
รีบไขลานเจ้าหน้าที่ให้จับคนร้ายมาให้ได้ แต่ต้องไม่จับแพะ...และไม่ว่ามันผู้นั่นจะเป็นใครต้องนำมาบอกกล่าวกับพี่น้อง 3จังหวัดและคนไทยทั้งประเทศให้ทราบโดยทั่วกัน เพราะถ้ารัฐไม่สามารถจับกุมคนร้ายชุดนี้ได้กรณีนี้จะกลายเป็นบาดแผลลึก และบาดแผลนี้จะเป็นเงื่อนไขจุดไฟก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ลุกโชนอย่างน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน..
เมื่อวาน (16 มิ.ย.)ได้สัมภาษณ์ท่านน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตรมว.ต่างประเทศและอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งคนรุ่นปัจจุบันบางกลุ่มอาจจะมองว่าท่านเป็น “ซีไอเอเมืองไทย” ที่ชำรุดแล้วหมดอายุใช้งานแล้ว แต่ผมกลับมองตรงข้าม ผมเห็นว่าข้อสังเกต –มุมมองของท่านน.ต.ประสงค์น่ารับฟังเป็นอย่างมาก ไม่เชื่อก็ลองย้อนไปฟังในหัวข้อข่าว “ประสงค์” จี้รัฐรื้อหน่วยข่าวกรองใต้ เตือนสงครามรูปแบบใหม่ แย่งชิงฐานมวลชน
สาระสำคัญที่น.ต.ประสงค์บอกกล่าวก็คือปัจจุบันสถานการณ์ได้ก้าวเข้าสู่รูปแบบใหม่ของการก่อการร้ายที่ใช้เครือข่ายปฏิบัติการ สร้างอำนาจรัฐซ้อนอำนาจรัฐ ไม่ชูธงแยกดินแดน แต่มุ่งในการแย่งและแยกประชาชนซึ่งหากทำสำเร็จมันก็คือการแยกดินแดนไปโดยปริยายนั่นเอง
และเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ได้มีโอกาสไปนั่งฟังการเสวนาในหัวข้อง “รัฐบาลล่มแน่ ถ้าไม่แก้วิกฤต” ที่ธรรมศาสตร์ บรรดาผู้รู้ที่ขึ้นเวทีก็ยอมรับว่า นอกเหนือจากปัญหาเศรษฐกิจ การทุจริตคอร์รัปชัน (เช่นกรณีรถเมล์เอ็นจีวี) แล้ว ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาวิกฤต..
คุณไพศาล พืชมงคล หนึ่งในวิทยากรเสนอแนวทาง-มาตรการดับไฟใต้ไว้ 3 ประการ
1) ต้องประกาศเป็นวาระแห่งชาติ นายกฯ เป็นผู้นำในการแก้ปัญหา
2) รีบหยุดยั้งเหตุร้ายต่างๆ ให้ได้
3) ตั้งคณะทำงานประสานกับองค์กรระดับสากลของมุสลิมโลก ซึ่งสันนิบาตประเทศมุสลิมโลก (โอไอซี) เป็น 1 ใน 3 องค์กรที่สำคัญ
เมื่อสัปดาห์ก่อนผมได้เสนอความเห็นมาตรการแก้ปัญหาภาคใต้ไว้เป็นสังเขปแล้ว และได้แสดงความเชื่อมั่นเป็นการส่วนตัวว่า นายกฯ อภิสิทธิ์เป็นผู้นำประเทศที่น่าจะมีความรู้ความเข้าใจในปัญหาภาคใต้เป็นอย่างดี และที่มากกว่าความรู้ความเข้าใจก็คือความมุ่งมั่นและความจริงใจในการแก้ปัญหา
แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ผมและคนอีกมากมายเชื่อมั่นจะไร้ค่าในทันที ถ้ารัฐบาลไม่สามารถลากคอคนร้ายที่ถล่มมัสยิดมาลงโทษได้
ครับ ในส่วนที่รัฐบาลจะใส่เงินพัฒนา 3 -4 จังหวัดอีกกี่หมื่นล้านบาทก็ว่ากันไปตามความเหมาะสม ความจำเป็นเถอะครับไม่มีใครว่า แต่รัฐบาล และท่านนายกฯ ต้องไม่ลืมว่าเกือบ 6 ปีที่ผ่านมาเราใช้งบประมาณไปแล้ว 1 แสนล้านบาทเศษ แต่มีผู้คนล้มตายไปแล้วร่วม 4 พันชีวิต ไฟใต้ยังลุกโชน นั่นย่อมแสดงว่าเราเดินมาผิดทิศผิดทางหรือยังไม่ “เข้าใจ เข้าถึง” อย่างแน่นอน
ถ้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง แล้วจะ “พัฒนา” ให้ถูกจุดถูกต้องได้อย่างไร...
.......................
ในการเสวนาที่ธรรมศาสตร์ ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีนิด้า บอกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ยังไม่ล่มในปี 2552 นี้แน่ เพราะฝ่ายค้านอ่อนแอ ผู้นำตัวจริงยังระเหเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ...:ซึ่งผมก็ค่อนข้างจะเห็นด้วย
แต่สำหรับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้โจรใต้ไม่อ่อนแอแน่นอน และที่สำคัญรัฐบาลหรือแม้แต่นายกฯ เองก็ยังไม่รู้เลยว่าใครคือผู้นำโจร และเรากำลังรบอยู่กับใคร!?
ตั้งสติดีๆ หาคำตอบชัดๆ จัดลำดับความสำคัญปัญหาก่อนหลัง ระดมพลังที่เป็นเอกภาพร่วมกันดับไฟใต้อย่างมีทิศทาง อย่างเข้าใจ เข้าถึงปัญหาจริงๆ กันอีกสักครั้งเถอะครับท่านนายกฯ
ที่ทำมาก็ใช้ได้อยู่ แต่ยังไม่พอ....
