ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเดิมเกมรุก ด้วยการส่งรัฐมนตรีและ ส.ส.ของพรรคลงพื้นที่เพื่อหาเสียงกับประชาชนในชนบท เพื่อช่วงชิงคะแนนเสียงเพื่อการเลือกตั้งล่าสุด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดเกมรุกเพื่อช่วงชิงคะแนนเสียงจากประชาชนในต่างจังหวัดบ้างแล้ว
โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ว่าได้ให้นโยบายต่อรัฐมนตรี ให้ลงพื้นที่พบปะประชาชนและประชาสัมพันธ์นโยบายและการทำงานของรัฐบาล โดบเฉพาะโครงการตามแผนไทยเข้มแข็ง ให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมว่า โครงการเป็นมาอย่างไร ใครได้ประโยชน์ เป็นงานของหลายกระทรวงซึ่งคลอบคลุมทุกพื้นที่ นอกจากนี้จะเป็นการเช็คความพร้อมและความโปร่งใสในโครงการที่จะพัฒนา เช่น แหล่งน้ำ ถนน ปรับปรุงโรงเรียน สถานีอนามัย และแหล่งท่องเที่ยวตามกรอบ ที่ได้อนุมัติไปคือ 1.4 ล้านล้าน
ส่วนที่ทางทีดีอาร์ไอ เสนอให้เพิ่มงบประมาณ 1 แสนล้านในเฟตแรก มีความจำเป็นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราแบ่งเป็นเงินที่ได้จาก พ.ร.ก. 2 แสนล้าน ส่วน พ.ร.บ. 2 แสนล้าน น่าจะผ่านได้ใกล้เคียงกับช่วงงบประมาณผ่าน ซึ่งหากพ.ร.บ. ผ่านในช่วงเดือน ต.ค. หลังจากงบประมาณประจำปี 53 ลงไปแล้วก็พยายามจะเร่งให้เร็วที่สุด ซึ่งเชื่อว่าในไตรมาสสุดท้ายเราจะเห็นเศรษฐกิจเป็นบวก หลังได้เงินจาก พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะเป็นการกู้จากต่างประเทศ อีกส่วนหนึ่งจะออกพันธบัตรเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ออม โดยได้หารือกับนายกรณ์ จาติกวณิชย์ รมว. คลังว่า น่าจะดำเนินการได้ค่อนข้างเร็ว เบื้องต้นจะเปิดโอกาสให้ ผู้สูงอายุในการจองเป็นพันธบัตร 5 ปี ดอกเบี้ยเริ่มต้น ร้อยละ 2.5 ต่อปี
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า ในวาระแจ้งเพื่อทราบ ที่ประชุมครม. นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงประชาสัมพันธ์ โครงการที่ตัวเองรับผิดชอบ แต่ต้องเป็นโครงการที่ดำเนินการมาพอสมควรแล้ว ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์โครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน ของพรรคภูมิใจไทย
นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวถึงกรณีที่ พรรคภูมิใจไทย พยายามดูด ส.ส.จากพรรคอื่นว่า การดูดมันไม่มีเวลาจำกัด มันดูดกันได้ทั้งวันทั้งคืน ถึงไม่มีการเลือกตั้งก็ดูด ตอบไม่ได้เรื่องการดูด มันดูดกันทั้งนั้นแหละ ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาไม่มี ส่วนใหญ่อยู่กับที่ ไม่ไปดูดที่อื่นมา
นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหัวหน้าพรรค ชาติไทยพัฒนา ยอมรับว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่น่ากลัว เพราะที่ใหญ่กว่า พรรคชาติไทยพัฒนา รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทยด้วย ซึ่งที่บอกว่าน่ากลัวเพราะมี ส.ส.มากกว่าพรรคเรา และที่บอกว่าน่ากลัวคือกลัวจะมาเอาคนของเราไป
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันที่ 11 มิ.ย.จะมีการประชุม ส.ส.ของพรรคในเวลา 13.00 น. ซึ่งจะมีการพูดคุยถึงแนวทาง ดำเนินการกับนายจุมพฎ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร และร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี พรรคเพื่อไทย ที่ประกาศชัดเจนว่าจะย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย โดยขณะนี้มี 2 แนวทางคือ จะปล่อยให้เป็นมาตรการทางสังคมหรือใช้มาตรการของพรรค
พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการการเมืองของพรรคเพื่อไทย ตนได้เสนอว่าเราไม่ควรไปติติงกรณีที่จะมี ส.ส.ย้ายพรรคไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยว่าถูกซื้อ เพราะ ส.ส.เหล่านั้นไม่เข้มแข็งและอดทนพอต่อการถูกรุมเค้าจากหลายๆ ด้าน จึงไม่อยากกล่าวหาว่าเขาไปรับเงินหรือขายตัว แต่พรรคเพื่อไทยควรต้องทำให้พรรคเข้มแข็ง โดยเฉพาะนโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ทีมเศรษฐกิจต้องลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชนด้วย ซึ่งเมื่อถึงวันเลือกตั้งเชื่อว่าทุกคนก็จะกลับเข้ามาเอง
นายพีระพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย กกลุ่มอีสานพัฒนา กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ใหญ่ในพรรคมีการประชุมเพื่อพิจารณากรณี นายจุมพฎ บุญใหญ่ หลังจากประกาศว่าจะไปอยู่พรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยอาจมีมาตราการต่างๆ เช่น ให้ประชาชนเข้าชื่อถอดถอนจาก ส.ส.หรือหามาตรการขับพ้นจากสมาชิกภาพ ด้วยการฟ้องต่อศาล เพราะวันนี้มี ส.ส.ของพรรค 2 คนที่ทำอย่างนี้คือ ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร และนายจุมพฎ ซึ่งพรรคคงจะปล่อยไว้ไม่ได้ โดยเฉพาะหากผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สกลนครนั้น หากพรรคภูมิใจไทยชนะก็จะเป็นสงครามจิตวิทยาให้เกิด โดมิโนในพรรคเพื่อไทยได้ ซึ่งส.ส.ส่วนหนึ่งอาจจะไหลไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทยเพื่อหวังอำนาจรัฐ เงิน หรือผลประโยชน์ก็ได้ ดังนั้นพรรคต้องมีวินัยเพื่อไม่ให้เกิดความไร้ระเบียบอย่างนี้
นายพีระพันธ์ กล่าวว่า พรรคไม่ควรตั้งข้อสงสัยส.ส.ที่เคยสังกัดกลุ่มเพื่อนเนวิน ที่ยังอยู่กับพรรค แต่ควรสร้างพรรคให้เกิดเอกภาพทั้งภายในและภายนอก เช่น จัดกิจกรรมให้มากขึ้น พบปะสมาชิกให้มากขึ้น หรือให้ส.ส.ทุกคนมีส่วนร่วมในการ บริหารพรรค ซึ่งถ้าประชาชนยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทยก็จะไม่มีส.ส.คนใด ย้ายพรรคอย่างแน่นอน
นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการด้านยุทธศาสตร์การเมืองของพรรคเพื่อไทยว่า ขณะนี้เกิดแก๊งออฟโฟร์ 2009 ที่ใหญ่กว่าและน่ากลัวกว่าแก๊งออฟโฟร์ในสมัยรัฐบาลของนายสมัคร สุทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี โดยครั้งนั้นแก๊งออฟโฟร์ต้องการอำนาจในพรรคพลังประชาชนเท่านั้น แต่ครั้งนี้แก๊งออฟโฟร์ 2009 ซึ่งประกอบด้วยบุคคลหลักๆ 4 ฝ่าย คือ คนปากห้อย คนหัวเถิก คนสีเขียว และ คนที่เป็นอำมาตย์ มีพฤติกรรมหาผลประโยชน์ร่วมกัน มีเป้าหมายใหญ่มากคือ ต้องการที่จะครองอำนาจการเมือง ยักย้ายตัดทอนงบประมาณเพื่อเตรียมเสบียงกรังไว้สำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งคนกลุ่มนี้ดำเนินการ โดยสร้างแนวร่วมอำนาจด้วยการประสานกับกลุ่มอำนาจต่างๆ ทั้งฝ่ายสีเขียว ฝ่ายอำมาตย์ รวมทั้งส่งคนของตัวเองไปนั่งบริหารอยู่ในบอร์ดของหน่วยงานต่างๆ ทำให้การดำเนินการต่างๆไหลลื่นไปได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้กลุ่มส.ส.หญิงของพรรคเพื่อไทยประมาณ 20 คน นัดรวมตัวกันเพื่อเดินทางไปดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 12 มิ.ย. เพื่อเยี่ยม พ.ต.ท. ทักษิณ และจะเดินทางกลับในวันที่ 14 มิ.ย. โดยกลุ่มส.ส.หญิงจะนำปัญหา ภายในพรรคเพื่อไทยไปหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณโดยตรง ภายหลังจากที่ส.ส.ในพรรค หลายคนรู้สึกอึดอัดต่อการทำงานของคณะผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบัน ที่เอาแต่นิ่งเงียบ ทำงานเชิงรับอย่างเดียว ทำให้ส.ส.ไม่มีผลงานไปบอกกับชาวบ้านในพื้นที่
นอกจากนี้ เรื่องบางอย่างที่กลุ่มส.ส.หญิงมองว่าเป็นปัญหาใหญ่แต่เมื่อนำเสนอ ให้ผู้บริหารพรรครับทราบ แต่กลับมองว่าเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย
โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ว่าได้ให้นโยบายต่อรัฐมนตรี ให้ลงพื้นที่พบปะประชาชนและประชาสัมพันธ์นโยบายและการทำงานของรัฐบาล โดบเฉพาะโครงการตามแผนไทยเข้มแข็ง ให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมว่า โครงการเป็นมาอย่างไร ใครได้ประโยชน์ เป็นงานของหลายกระทรวงซึ่งคลอบคลุมทุกพื้นที่ นอกจากนี้จะเป็นการเช็คความพร้อมและความโปร่งใสในโครงการที่จะพัฒนา เช่น แหล่งน้ำ ถนน ปรับปรุงโรงเรียน สถานีอนามัย และแหล่งท่องเที่ยวตามกรอบ ที่ได้อนุมัติไปคือ 1.4 ล้านล้าน
ส่วนที่ทางทีดีอาร์ไอ เสนอให้เพิ่มงบประมาณ 1 แสนล้านในเฟตแรก มีความจำเป็นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราแบ่งเป็นเงินที่ได้จาก พ.ร.ก. 2 แสนล้าน ส่วน พ.ร.บ. 2 แสนล้าน น่าจะผ่านได้ใกล้เคียงกับช่วงงบประมาณผ่าน ซึ่งหากพ.ร.บ. ผ่านในช่วงเดือน ต.ค. หลังจากงบประมาณประจำปี 53 ลงไปแล้วก็พยายามจะเร่งให้เร็วที่สุด ซึ่งเชื่อว่าในไตรมาสสุดท้ายเราจะเห็นเศรษฐกิจเป็นบวก หลังได้เงินจาก พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะเป็นการกู้จากต่างประเทศ อีกส่วนหนึ่งจะออกพันธบัตรเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ออม โดยได้หารือกับนายกรณ์ จาติกวณิชย์ รมว. คลังว่า น่าจะดำเนินการได้ค่อนข้างเร็ว เบื้องต้นจะเปิดโอกาสให้ ผู้สูงอายุในการจองเป็นพันธบัตร 5 ปี ดอกเบี้ยเริ่มต้น ร้อยละ 2.5 ต่อปี
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า ในวาระแจ้งเพื่อทราบ ที่ประชุมครม. นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงประชาสัมพันธ์ โครงการที่ตัวเองรับผิดชอบ แต่ต้องเป็นโครงการที่ดำเนินการมาพอสมควรแล้ว ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์โครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน ของพรรคภูมิใจไทย
นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวถึงกรณีที่ พรรคภูมิใจไทย พยายามดูด ส.ส.จากพรรคอื่นว่า การดูดมันไม่มีเวลาจำกัด มันดูดกันได้ทั้งวันทั้งคืน ถึงไม่มีการเลือกตั้งก็ดูด ตอบไม่ได้เรื่องการดูด มันดูดกันทั้งนั้นแหละ ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาไม่มี ส่วนใหญ่อยู่กับที่ ไม่ไปดูดที่อื่นมา
นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะหัวหน้าพรรค ชาติไทยพัฒนา ยอมรับว่าพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่น่ากลัว เพราะที่ใหญ่กว่า พรรคชาติไทยพัฒนา รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทยด้วย ซึ่งที่บอกว่าน่ากลัวเพราะมี ส.ส.มากกว่าพรรคเรา และที่บอกว่าน่ากลัวคือกลัวจะมาเอาคนของเราไป
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันที่ 11 มิ.ย.จะมีการประชุม ส.ส.ของพรรคในเวลา 13.00 น. ซึ่งจะมีการพูดคุยถึงแนวทาง ดำเนินการกับนายจุมพฎ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร และร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี พรรคเพื่อไทย ที่ประกาศชัดเจนว่าจะย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย โดยขณะนี้มี 2 แนวทางคือ จะปล่อยให้เป็นมาตรการทางสังคมหรือใช้มาตรการของพรรค
พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการการเมืองของพรรคเพื่อไทย ตนได้เสนอว่าเราไม่ควรไปติติงกรณีที่จะมี ส.ส.ย้ายพรรคไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยว่าถูกซื้อ เพราะ ส.ส.เหล่านั้นไม่เข้มแข็งและอดทนพอต่อการถูกรุมเค้าจากหลายๆ ด้าน จึงไม่อยากกล่าวหาว่าเขาไปรับเงินหรือขายตัว แต่พรรคเพื่อไทยควรต้องทำให้พรรคเข้มแข็ง โดยเฉพาะนโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ทีมเศรษฐกิจต้องลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชนด้วย ซึ่งเมื่อถึงวันเลือกตั้งเชื่อว่าทุกคนก็จะกลับเข้ามาเอง
นายพีระพันธ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย กกลุ่มอีสานพัฒนา กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ใหญ่ในพรรคมีการประชุมเพื่อพิจารณากรณี นายจุมพฎ บุญใหญ่ หลังจากประกาศว่าจะไปอยู่พรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยอาจมีมาตราการต่างๆ เช่น ให้ประชาชนเข้าชื่อถอดถอนจาก ส.ส.หรือหามาตรการขับพ้นจากสมาชิกภาพ ด้วยการฟ้องต่อศาล เพราะวันนี้มี ส.ส.ของพรรค 2 คนที่ทำอย่างนี้คือ ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร และนายจุมพฎ ซึ่งพรรคคงจะปล่อยไว้ไม่ได้ โดยเฉพาะหากผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สกลนครนั้น หากพรรคภูมิใจไทยชนะก็จะเป็นสงครามจิตวิทยาให้เกิด โดมิโนในพรรคเพื่อไทยได้ ซึ่งส.ส.ส่วนหนึ่งอาจจะไหลไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทยเพื่อหวังอำนาจรัฐ เงิน หรือผลประโยชน์ก็ได้ ดังนั้นพรรคต้องมีวินัยเพื่อไม่ให้เกิดความไร้ระเบียบอย่างนี้
นายพีระพันธ์ กล่าวว่า พรรคไม่ควรตั้งข้อสงสัยส.ส.ที่เคยสังกัดกลุ่มเพื่อนเนวิน ที่ยังอยู่กับพรรค แต่ควรสร้างพรรคให้เกิดเอกภาพทั้งภายในและภายนอก เช่น จัดกิจกรรมให้มากขึ้น พบปะสมาชิกให้มากขึ้น หรือให้ส.ส.ทุกคนมีส่วนร่วมในการ บริหารพรรค ซึ่งถ้าประชาชนยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทยก็จะไม่มีส.ส.คนใด ย้ายพรรคอย่างแน่นอน
นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการด้านยุทธศาสตร์การเมืองของพรรคเพื่อไทยว่า ขณะนี้เกิดแก๊งออฟโฟร์ 2009 ที่ใหญ่กว่าและน่ากลัวกว่าแก๊งออฟโฟร์ในสมัยรัฐบาลของนายสมัคร สุทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี โดยครั้งนั้นแก๊งออฟโฟร์ต้องการอำนาจในพรรคพลังประชาชนเท่านั้น แต่ครั้งนี้แก๊งออฟโฟร์ 2009 ซึ่งประกอบด้วยบุคคลหลักๆ 4 ฝ่าย คือ คนปากห้อย คนหัวเถิก คนสีเขียว และ คนที่เป็นอำมาตย์ มีพฤติกรรมหาผลประโยชน์ร่วมกัน มีเป้าหมายใหญ่มากคือ ต้องการที่จะครองอำนาจการเมือง ยักย้ายตัดทอนงบประมาณเพื่อเตรียมเสบียงกรังไว้สำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งคนกลุ่มนี้ดำเนินการ โดยสร้างแนวร่วมอำนาจด้วยการประสานกับกลุ่มอำนาจต่างๆ ทั้งฝ่ายสีเขียว ฝ่ายอำมาตย์ รวมทั้งส่งคนของตัวเองไปนั่งบริหารอยู่ในบอร์ดของหน่วยงานต่างๆ ทำให้การดำเนินการต่างๆไหลลื่นไปได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้กลุ่มส.ส.หญิงของพรรคเพื่อไทยประมาณ 20 คน นัดรวมตัวกันเพื่อเดินทางไปดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 12 มิ.ย. เพื่อเยี่ยม พ.ต.ท. ทักษิณ และจะเดินทางกลับในวันที่ 14 มิ.ย. โดยกลุ่มส.ส.หญิงจะนำปัญหา ภายในพรรคเพื่อไทยไปหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณโดยตรง ภายหลังจากที่ส.ส.ในพรรค หลายคนรู้สึกอึดอัดต่อการทำงานของคณะผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบัน ที่เอาแต่นิ่งเงียบ ทำงานเชิงรับอย่างเดียว ทำให้ส.ส.ไม่มีผลงานไปบอกกับชาวบ้านในพื้นที่
นอกจากนี้ เรื่องบางอย่างที่กลุ่มส.ส.หญิงมองว่าเป็นปัญหาใหญ่แต่เมื่อนำเสนอ ให้ผู้บริหารพรรครับทราบ แต่กลับมองว่าเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย
