ASTVผู้จัดการรายวัน - อย.เก็บตัวอย่าง "กระทิงแดงโคล่า" ตรวจสอบหลังเยอรมันพบโคเคน ประกาศห้ามขาย ส่งกรมวิทย์ฯ ตรวจสอบคาดรู้ผลสัปดาห์หน้า ชี้พบปริมาณสารน้อยไม่เป็นอันตรายแต่ไม่ควรพบในอาหาร-เครื่องดื่ม
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหาร กระทรวงอาหาร การเกษตร และคุ้มครองผู้บริโภค ประเทศเยอรมนี ตรวจพบร่องรอยโคเคนในกระทิงแดงโคลาปริมาณ 0.4 ไมโครกรัมต่อลิตร และได้มีคำสั่งประกาศห้ามขายใน 6 รัฐของเยอรมนีว่า ขณะนี้ อย. ได้เก็บดังกล่าวในตัวอย่างสินค้าในท้องตลาดส่งไปยังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้ตรวจสอบแล้ว คาดว่าจะทราบผลในสัปดาห์หน้า พร้อมทั้งประสานกับบริษัทผู้ผลิตเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับในประเทศไทยนั้น มีการผลิตและจำหน่ายไม่มากเพราะไม่เป็นที่นิยม
“เมื่อพิจารณาจากข้อมูลแล้วไม่น่าจะใช่โคเคนที่เป็นสารเสพติดตรงๆ แต่เป็นสารใกล้เคียง ซึ่งมีปริมาณน้อยมากๆ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรมีอยู่ในอาหาร ซึ่งเชื่อว่าคงไม่มีใครตั้งใจใส่ยาเสพติดลงไปในอาหารหรือเครื่องดื่ม ดังนั้น ที่มาของโคเคนที่พบนั้นมาได้อย่างไรคงต้องดูรายละเอียดข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจน อย่างไรก็ตาม อย.ได้เร่งให้มีการตรวจวิเคราะห์อย่างระเอียดแล้ว ดังนั้น ประชาชนไม่ต้องวิตกกังวลแต่อย่างใด” นพ.พิพัฒน์กล่าว
นพ.พิพัฒน์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโคลา จะตรวจเฉพาะปริมาณคาเฟอีนเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มีการตรวจปริมาณสารดังกล่าว สำหรับใบโคคามีการนำมาใช้ในเครื่องดื่มมานาน 30-40 ปีแล้ว ทั้งนี้ โคเคนจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยสกัดได้จากใบของต้นโคคา (COCA PLANT) แต่มีการนำไปใช้เป็นสารปรุงรสและแต่งกลิ่นจากธรรมชาติในอาหารและเครื่องดื่ม
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหาร กระทรวงอาหาร การเกษตร และคุ้มครองผู้บริโภค ประเทศเยอรมนี ตรวจพบร่องรอยโคเคนในกระทิงแดงโคลาปริมาณ 0.4 ไมโครกรัมต่อลิตร และได้มีคำสั่งประกาศห้ามขายใน 6 รัฐของเยอรมนีว่า ขณะนี้ อย. ได้เก็บดังกล่าวในตัวอย่างสินค้าในท้องตลาดส่งไปยังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้ตรวจสอบแล้ว คาดว่าจะทราบผลในสัปดาห์หน้า พร้อมทั้งประสานกับบริษัทผู้ผลิตเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับในประเทศไทยนั้น มีการผลิตและจำหน่ายไม่มากเพราะไม่เป็นที่นิยม
“เมื่อพิจารณาจากข้อมูลแล้วไม่น่าจะใช่โคเคนที่เป็นสารเสพติดตรงๆ แต่เป็นสารใกล้เคียง ซึ่งมีปริมาณน้อยมากๆ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรมีอยู่ในอาหาร ซึ่งเชื่อว่าคงไม่มีใครตั้งใจใส่ยาเสพติดลงไปในอาหารหรือเครื่องดื่ม ดังนั้น ที่มาของโคเคนที่พบนั้นมาได้อย่างไรคงต้องดูรายละเอียดข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจน อย่างไรก็ตาม อย.ได้เร่งให้มีการตรวจวิเคราะห์อย่างระเอียดแล้ว ดังนั้น ประชาชนไม่ต้องวิตกกังวลแต่อย่างใด” นพ.พิพัฒน์กล่าว
นพ.พิพัฒน์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโคลา จะตรวจเฉพาะปริมาณคาเฟอีนเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มีการตรวจปริมาณสารดังกล่าว สำหรับใบโคคามีการนำมาใช้ในเครื่องดื่มมานาน 30-40 ปีแล้ว ทั้งนี้ โคเคนจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยสกัดได้จากใบของต้นโคคา (COCA PLANT) แต่มีการนำไปใช้เป็นสารปรุงรสและแต่งกลิ่นจากธรรมชาติในอาหารและเครื่องดื่ม
