xs
xsm
sm
md
lg

เอพี-ศุภาลัยปั๊มโครงการใหม่/หวังกินรวบตลาดปิดรายเล็ก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – บริษัทอสังหาฯรายใหญ่หวังกินรวบส่วนแบ่งตลาดอสังหาฯ “เอพี” มั่นใจตลาดฟื้นลุยเปิด 12 โครงการรวด มูลค่า 21,270 ล้านบาทใน 12 เดือนข้างหน้า ระบุไตรมาสแรกซับพลายใหม่ลดฮวบ 49% ขณะที่ดีมานด์หายไปเพียง 8-10% เหตุแบงก์เข้มปล่อยกู้โครงการบริษัทรายกลาง ค่ายศุภาลัย คาดรายได้ปี 52 โตไม่ต่ำกว่า 20% อานิสงส์ยอดขายรอโอนปีนี้ 4,700 ล้านบาท เชื่อผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นกำลังซื้อทยอยกลับเข้ามา ส่วนซีเอ็มซี กรุ๊ป ชะลอแผนเปิดโครงการใหม่ หดเหลือ 4 โครงการ เหตุไม่พบสัญญาณบวก ลูกค้าชะลอตัดสินใจซื้อ

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP กล่าวเชื่อมั่นว่า ภาวะตลาดในปัจจุบันกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยโครงการในแนวราบมีลูกค้าเยี่ยมชมโครงการ 400-500 รายต่อสัปดาห์ ส่วนยอดขาย 100 ยูนิต/สัปดาห์ ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และจากโอนโครงการในไตรมาสแรกพบว่า มีลูกค้าจ่ายเงินสด 30-35% นอกจากนี้ จากภาพรวมของตัวเลขการเปิดโครงการใหม่ กลับลดลงจากปีที่แล้ว 49% ขณะที่ความต้องการลดลง 8-10% ทำให้ผู้ประกอบการที่มีสินค้าอยู่ในมือมีโอกาสสร้างยอดขายได้มาก

ดังนั้น ในช่วง 12 เดือนนับจากนี้ (พ.ค.52-พ.ค.53) บริษัทจะเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวม 21,270 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 5 โครงการ โดยจะเปิดในปีนี้ 8 โครงการ พร้อมเตรียมงบประมาณซื้อที่ดินไว้ 4,000 ล้านบาท โดยใช้ไปแล้ว 700 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การทำตลาดในปีนี้ จะเข้มข้นกว่าทุกๆปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นตลาดของผู้ซื้อโดยแท้จริง นอกจากนี้ ผู้ซื้อมีความรู้ พิจารณาหลายโครงการกว่าจะตัดสินใจซื้อ อีกทั้ง ยังต่อรองมากยิ่งขึ้น ทำให้ในปีนี้บริษัทได้เพิ่มงบการทำการตลาดไว้ประมาณ 300 ล้านบาท หรือประมาณ 3% ของยอดขายจากเดิม 2% และยอมรับว่าต้นทุนการขายที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบให้กำไรของบริษัทมีอัตราใกล้เคียงหรือเท่ากับปีหน้าเท่านั้น

“ในปีนี้เป็นตลาดของรายใหญ่โดยแท้จริง เริ่มตั้งแต่แบงก์จะปล่อยสินเชื่อให้เฉพาะรายใหญ่ ส่วนรายกลางปล่อยให้น้อยมากหรือไม่ปล่อยเลย ทำให้โครงการที่เปิดใหม่ในปัจจุบันมาจากรายใหญ่ทั้งนั้น นอกจากนี้ การทำการตลาดรายใหญ่ยังได้เปรียบ เพราะมีผู้ผลิตคอยสนับสนุนสินค้าให้ เช่น บริษัทอินเด็กซ์ฯที่ออกแบบสินค้าเอ็กซ์ครูซีฟให้เฉพาะเอพี รวมถึงวัสดุอื่นๆ”

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 1 มีกำไรสุทธิ 481 ล้านบาท โตขึ้น 217.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไร 152 ล้านบาท โดยมียอดขายรอรับรู้รายได้ 11,859 ล้านบาท มาจากสินค้าแนวราบ 2,174 ล้านบาท และจากคอนโดฯ 9,685 ล้านบาท โดยจะรับรู้ในปีนี้ประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ รับรู้ไปในไตรมาส 1 แล้ว 2,800 ล้านบาท และบริษัทขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อออกหุ้นกู้จำนวน 4,000 ล้านบาท ส่วนจะออกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับภาวะตลาด

**ศุภาลัยฟุ้งปีนี้รายได้โตกว่า20%
นางวารุณี ลภิธนานุวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการเงินและบัญชี บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI กล่าวคาดการณ์ว่า อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ปี 2552 อยู่ในระดับที่ 44% เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่ 39% จากการที่บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทคอนโดฯที่มีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)สูง ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงเฉลี่ยกว่า 40% ประกอบกับบริษัทสามารถซื้อที่ดินได้ในราคาที่ถูก และสามารถควบคุมการดำเนินงานได้ดี
ทั้งนี้ คาดการณ์รายได้ที่เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 6,242 ล้านบาท จากยอดรอโอนในปีนี้ 4,700 ล้านบาท และของไตรมาส1 ซึ่งบริษัทยังมียอดรอโอนคอนโดฯ กว่า 2,000 ล้านบาท รวมถึงยอดของโครงการเดิมที่ยังคงมีเข้ามา อีกทั้ง ในส่วนของโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดตัวในปีนี้อีก 11 โครงการ และในปี 2553 ยังมีรายได้ที่รอรับรู้รายได้อีก 5,474 ล้านบาท และในปี 2554 อีก 3,416 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีอัตรากำไรสุทธิที่สูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 1,069 ล้านบาท หลังไตรมาส 1/52 บริษัทมีกำไรเข้ามาแล้วถึง 541 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมองว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคขณะนี้เริ่มกลับเข้ามาและยังอยู่ในศักยภาพที่ดีอยู่ เพียงแต่ต้องรอดูสถานการณ์การฟื้นตัวของทั้งเศรษฐกิจและการเมืองควบคู่ไปด้วย
โดยบริษัทคาดว่ายอดขายในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมียอดขายแล้ว 3,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นยอดขายที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะยอดขายเดือน พ.ค.ถือได้ว่าเป็นสัญญาณการกลับมาของผู้ซื้อบ้าน จากเดือน ม.ค.-ก.พ.ยอดขายหายไป 50% จึงทำให้บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ปีนี้ จำนวน 11 โครงการ มูลค่า 14,163 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวสูง 4 โครงการที่เหลือเป็นแนวราบ
นอกจากนี้ ในปี 52 บริษัทมีแผนการลดงบซื้อที่ดิน เนื่องจากต้องการถือเงินสดเอาไว้รองรับสถานการณ์และจะให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อที่ดินมากขึ้น รวมถึงยังเป็นการลดความเสี่ยงก่อนการเลือกลงทุน ขณะ เดียวกัน บริษัทมีที่ดินรอพัฒนาโครงการในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2552-2554) มูลค่า 4,610 ล้านบาท ส่งผลให้งบการซื้อที่ดินในปีนี้ เหลือที่ 1,000 ล้านบาท จาก 2,500 ล้านบาทในปีก่อน
***CMCปรับลดโครงการใหม่
นายแพทย์วิเชียร แพทยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด หรือ CMC กรุ๊ป กล่าวว่า จากสภาพตลาดอสังหาฯในช่วงไตรมาสแรกที่ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนของการฟื้นตัว ทำให้บริษัทต้องตัดสินใจชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2552 จากเดิมเปิดใหม่ 6 โครงการ แต่ได้ปรับลดเหลือ 4 โครงการ โดย 2 โครงการที่ปรับออก แบ่งเป็น โครงการแนวสูงและแนวราบอย่างละ 1 โครงการ
เพื่อรอประเมินภาวะตลาดอสังหาฯว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 จะมีการปรับตัวดีขึ้นตามประมาณการหรือไม่
“ หากในช่วงไตรมาสที่ 2 ตลาดอสังหาฯรวมมีการปรับตัวที่ดี ก็น่าจะเชื่อได้ว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ตลาดจะเริ่มฟื้นตัวได้ ซึ่งหากตลาดเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง บริษัทอาจจะตัดสินใจเปิดโครงการที่ชะลอออก1โครงการก่อน ”
สำหรับ 4 โครงการใหม่ที่จะเปิดในปี 2552 ประกอบด้วย โครงการแนวราบ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการคาซ่าบางมด โครงการทาวน์เฮาส์3ชั้น บนพื้นที่พัฒนาโครงการ10ไร่ จำนวน107 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.2-7ล้านบาท มูลค่าขายรวม 350 ล้านบาท โครงการคาซ่าสาทร-ตากสิน ทาวน์เฮาส์4ชั้น 60 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.2-7ล้านบาทมูลค่ารวม 350ล้านบาท
ส่วนโครงการแนวสูง ประกอบด้วยโครงการชาโตว์อินทาวน์  รัชดา-ท่าพระ เนื้อที่พัฒนาโครงการ548 ตารางวา ซึ่งบริษัทซื้อที่ดินต่อจากบริษัท สวีเดนมอเตอร์ ราคา 35 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวพัฒนาเป็นอาคารชุดจำนวน 157 ยูนิต ราคาขายต่อตารางเมตร 40,000 บาท และโครงการแบงค์คอก ฮอไรซอน เพชรเกษมใกล้กับเดอะมอลล์บางแค ซึ่งล่าสุดบริษัทได้แต่งตั้งบริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่บริหารการขายและที่ปรึกษาการตลาดให้ สำหรับโครงการแบงค์คอก ฮอไรซอน เพชรเกษม เป็นโครงการคอนโดฯสูง 26ชั้น จำนวน418ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.2-4 ล้านบาท มูลค่าขายรวม 750ล้านบาท
“เหตุผลที่ บริษัทฯเข้ามาทำตลาดในย่านฝั่งธนบุรีทั้งหมด 4 โครงการ เนื่องจากมั่นใจว่า เป็นทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทเองถือว่าเป็นเจ้าถิ่นในทำเลดังกล่าว ทำให้มีความคุ้นเคย และเข้าใจความต้องการของลูกค้าในย่านฝั่งธนบุรีค่อนข้างดี ”
ในส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาสแรก บริษัทฯมียอดขาย 233ล้านบาท มียอดรับรู้รายได้ 166 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 25ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทยังมีสต๊อกสินค้าไว้รองรับความต้องการของลูกค้า โดยปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการบริหารทั้งสิ้น 9โครงการ แบ่งเป็น โครงการแนวสูง6 โครงการและแนวราบอีก 3โครงการ
**“กิติศักดิ์”อำลาฮาริสันฯไม่กระทบ
ด้านนายอลัน หลิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่นายกิตติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ รองประธานกรรมการบริษัทฯได้ลาออกไป บริษัทได้ปรับทีมการตลาดและหาผู้บริหารเข้ามาช่วยดูแลในสายงานการตลาดใหม่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารใหม่ แต่ในส่วนของแผนและนโยบายการดำเนินงานของบริษัทในปี 52 จะคงเหมือนเดิม
โดยตั้งเป้ายอดขายรวมในปีนี้ 7,000 ล้านบาท ลดลงจากเป้าที่วางไว้ช่วงต้นปี 10,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงต้นปี52 ตลาดโดยรวมได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายแล้ว 2,000 ล้านบาท จากสินค้าในมือที่มีอยู่ 20,000 ล้านบาท
“แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทีมการตลาดและผู้บริหารใหม่ แต่ฮาริสันจะยังคงนโยบายและแผนการดำเนินการเช่นเดิม โดยยังมีการนำโครงการออกไปโรดโชว์ในต่างประเทศ ซึ่งในช่วงไตรมาสที่ 2นี้ จะนำโครงการคอนโดฯไปจัดงาน ไทยแลนด์คอนโดมิเนียม ที่สิงคโปร์ ซึ่งคาดว่าจะมีโครงการไปร่วมออกบูทประมาณ 15-20โครงการ ซึ่งขณะนี้มีที่ยืนยันมาแล้วว่าจะไปร่วมงานด้วย 4 ราย นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนจะจัดงาน อาร์ท ออฟ ลีฟวิ่งในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง การออกไปโรดโชว์ในต่างประเทศจะทำให้บริษัทสามารถดึงลูกค้าต่างชาติ เข้ามาซื้อและลงทุนในโครงการแบงค์คอก ฮอไรซอนได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อยอดขายได้ด้วย โดยมั่นใจว่าในปีนี้ จะสามารถปิดการขายได้ไม่ต่ำกว่า 60%”
***เฟรเกรนท์ฯทุ่มงบอัดอีเวนท์เร่งยอดขาย
นายเจมส์ ดูอัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมายอดขายในตลาดคอนโดมิเนียมอาจจะดูช้าลงบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากผู้บริโภคขาดความมั่นใจในสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง แต่ไม่ได้หมายความว่ากำลังซื้อในตลาดไม่มี ดังนั้น บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับการสื่อสารตรงต่อผู้บริโภค เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ นอกเหนือไปจากมาตรการของรัฐบาลที่จะช่วยกระตุ้นตลาดได้อีกทางหนึ่ง
ดังนั้น ทางบริษัทฯจึงได้เข้าร่วมออกบูทในงาน Siam Paragon Luxury Property Showcase, ศูนย์การค้า สยามพารากอน ระหว่างวันที่ 14-22 พ.ค. โดยจะมีการนำเสนอโปรโมชันพิเศษ รวมทั้งสิ้น 16 รายการให้แก่ผู้ที่จองห้องพักภายในงานได้เลือกตามความต้องการ รวมทั้ง Buy Back Option สำหรับห้อง Studio ซึ่งทางลูกค้ามีสิทธิขายคืนห้องให้แก่ทางโครงการก่อนถึงวันโอน พร้อมผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 10%
“ โครงการ Circle น่าจะปิดการขายได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยเฉพาะเมื่อโครงการแอร์พอร์ตลิงค์เริ่มเปิดดำเนินการบางส่วนในเดือนสิงหาคมนี้ รวมทั้งโครงการ The Prime 11 ซึ่งมีมูลค่าโครงการกว่า 1,400 ล้านบาท ก็สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 90% โดยการก่อสร้างจะแล้วเสร็จพร้อมโอนในเดือนก.ย.นี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถปิดการขายได้ในสิ้นปีนี้เช่นกัน” นายเจมส์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น