ในที่สุดก็มีคำแถลงยืนยันอย่างเป็นทางการจากปากของ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่า จำเป็นต้องเลื่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาออกไปเป็นปลายเดือนตุลาคม จากเดิมที่กำหนดเอาไว้ในวันที่ 13-14 มิถุนายน ที่จังหวัดภูเก็ต โดยอ้างเหตุผลในเรื่องเวลาว่างของบรรดาผู้นำประเทศไม่ตรงกัน
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องพิจารณากันให้มากกว่านั้น ก็คือการเลื่อนประชุมดังกล่าวมันย่อมหมายถึงความเสียหายซ้ำซากที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติ
ต้องเข้าใจว่าการจัดประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่กำหนดจะจัดกันที่ภูเก็ตในวันที่ 13-14 มิถุนายนดังกล่าว เป็นการเลื่อนมาจากการประชุมครั้งก่อนที่พัทยา หลังจากถูกกลุ่ม “คนเสื้อแดง” นำโดย อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์(แซ่ด่าน) เป็นต้น ยกขบวนไปป่วนถึงห้องประชุมจนต้องล้มเลิกกลางคัน
บรรดาผู้นำและเจ้าหน้าที่นับพันคนต้องแตกกระเจิงหนีตายกันจ้าละหวั่น
นอกจากนี้ ผลจากการล้มเวทีประชุมดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมืองอย่างย่อยยับในพริบตา และประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ ทั้งตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย ฯลฯ
ที่สำคัญทำให้ประเทศเสียโอกาสในการพัฒนา ไม่สามารถหาข้อตกลงเพื่อความร่วมมือกันในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงที่ทุกประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ที่จะต้องมีมาตรการรับมือกันอย่างทันท่วงที
แต่เมื่อเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายจนต้องล้มเลิกการประชุม ความเสียหายทั้งหลายทั้งปวงก็ตกอยู่กับประเทศไทย คนไทย ซึ่งรวมไปถึงคนใส่เสื้อแดงทุกคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย
เมื่อการประชุมล่มไปกลางคันก็ต้องมีการนัดประชุมกันใหม่ แต่ปัญหาก็คือในบรรดาผู้นำที่เข้าร่วมประชุมมีจำนวน 15 ประเทศมีกำหนดตารางเวลาสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศที่แต่ละรายต้องมีการวางแผนล่วงหน้ากันนานหลายเดือน หรือบางประเทศมีกำหนดตารางเป็นปีเลยก็มี โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ อย่างเช่น จีน หรือ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ส่วนประเทศอื่นๆก็เช่นเดียวกัน แม้ว่า จะมีความพร้อม แต่อีกหลายประเทศไม่พร้อม ยิ่งมีจำนวนกว่า 10 ประเทศ การจะให้มีเวลาสะดวกตรงกันในช่วงหลังจากผ่านพ้นไปเพียงแค่ 2 เศษ ในความเป็นจริงก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
นอกจากนี้ยังไม่ต้องพูดถึงความเชื่อมั่นในเรื่องของความปลอดภัยที่ผู้นำแต่ละคนอาจจะรู้สึกจากเหตุการณ์อัปยศที่พัทยา ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางประเทศมีการต่อรองขอขนหน่วยรักษาความปลอดภัยของตัวเองเข้ามาอารักขาผู้นำของตัวเองกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งดูเหมือนว่าฝ่ายไทยก็ดูจะไฟเขียวให้เป็นกรณีพิเศษ
แม้ว่าอาจจะต้องเสี่ยงกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของศักดิ์ศรีและอธิปไตยของประเทศก็ตามที ซึ่งน้อยครั้งนักที่รัฐบาลไทยหรือประเทศไหนก็ตามจะยอมโอนอ่อนให้ได้แบบนี้
เมื่อประมวลภาพมาตั้งแต่ต้นมาจนถึงวันที่รัฐบาลจำเป็นต้องเลื่อนประชุมออกไปเป็นความเสียหายทุกด้านที่ประเทศไทยได้รับ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีคนรับผิดชอบ โดยเฉพาะคนเสื้อแดง หัวโจก และรวมไปถึงคนที่สั่งการอยู่เบื้องหลัง จนทำให้ทุกอย่างพังทลาย
จะปล่อยให้คนพวกนี้สำคัญผิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ แล้วเที่ยวบิดเบือนผิดเป็นถูกต่อไปอีกไม่ได้
ในคำแถลงของ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยอมรับในตอนหนึ่งว่า การเลื่อนการประชุมออกไปทำให้รัฐบาลต้องเสียหน้าบ้าง แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายอื่นๆที่ตามมาแล้วถือว่ายังเป็นเรื่องรอง เพราะมันยังรวมไปถึงผลกระทบประชากรทุกคนในภูมิภาคนี้ที่ต้องเสียโอกาสในการพัฒนา โดยเฉพาะการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจที่ทุกคนกำลังเผชิญชะตากรรมร่วมกัน
ดังนั้นจะต้องหาคนรับผิดชอบให้ได้ !!
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องพิจารณากันให้มากกว่านั้น ก็คือการเลื่อนประชุมดังกล่าวมันย่อมหมายถึงความเสียหายซ้ำซากที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติ
ต้องเข้าใจว่าการจัดประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่กำหนดจะจัดกันที่ภูเก็ตในวันที่ 13-14 มิถุนายนดังกล่าว เป็นการเลื่อนมาจากการประชุมครั้งก่อนที่พัทยา หลังจากถูกกลุ่ม “คนเสื้อแดง” นำโดย อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์(แซ่ด่าน) เป็นต้น ยกขบวนไปป่วนถึงห้องประชุมจนต้องล้มเลิกกลางคัน
บรรดาผู้นำและเจ้าหน้าที่นับพันคนต้องแตกกระเจิงหนีตายกันจ้าละหวั่น
นอกจากนี้ ผลจากการล้มเวทีประชุมดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมืองอย่างย่อยยับในพริบตา และประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้ ทั้งตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย ฯลฯ
ที่สำคัญทำให้ประเทศเสียโอกาสในการพัฒนา ไม่สามารถหาข้อตกลงเพื่อความร่วมมือกันในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงที่ทุกประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ที่จะต้องมีมาตรการรับมือกันอย่างทันท่วงที
แต่เมื่อเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายจนต้องล้มเลิกการประชุม ความเสียหายทั้งหลายทั้งปวงก็ตกอยู่กับประเทศไทย คนไทย ซึ่งรวมไปถึงคนใส่เสื้อแดงทุกคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย
เมื่อการประชุมล่มไปกลางคันก็ต้องมีการนัดประชุมกันใหม่ แต่ปัญหาก็คือในบรรดาผู้นำที่เข้าร่วมประชุมมีจำนวน 15 ประเทศมีกำหนดตารางเวลาสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศที่แต่ละรายต้องมีการวางแผนล่วงหน้ากันนานหลายเดือน หรือบางประเทศมีกำหนดตารางเป็นปีเลยก็มี โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจ อย่างเช่น จีน หรือ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ส่วนประเทศอื่นๆก็เช่นเดียวกัน แม้ว่า จะมีความพร้อม แต่อีกหลายประเทศไม่พร้อม ยิ่งมีจำนวนกว่า 10 ประเทศ การจะให้มีเวลาสะดวกตรงกันในช่วงหลังจากผ่านพ้นไปเพียงแค่ 2 เศษ ในความเป็นจริงก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
นอกจากนี้ยังไม่ต้องพูดถึงความเชื่อมั่นในเรื่องของความปลอดภัยที่ผู้นำแต่ละคนอาจจะรู้สึกจากเหตุการณ์อัปยศที่พัทยา ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางประเทศมีการต่อรองขอขนหน่วยรักษาความปลอดภัยของตัวเองเข้ามาอารักขาผู้นำของตัวเองกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งดูเหมือนว่าฝ่ายไทยก็ดูจะไฟเขียวให้เป็นกรณีพิเศษ
แม้ว่าอาจจะต้องเสี่ยงกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของศักดิ์ศรีและอธิปไตยของประเทศก็ตามที ซึ่งน้อยครั้งนักที่รัฐบาลไทยหรือประเทศไหนก็ตามจะยอมโอนอ่อนให้ได้แบบนี้
เมื่อประมวลภาพมาตั้งแต่ต้นมาจนถึงวันที่รัฐบาลจำเป็นต้องเลื่อนประชุมออกไปเป็นความเสียหายทุกด้านที่ประเทศไทยได้รับ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีคนรับผิดชอบ โดยเฉพาะคนเสื้อแดง หัวโจก และรวมไปถึงคนที่สั่งการอยู่เบื้องหลัง จนทำให้ทุกอย่างพังทลาย
จะปล่อยให้คนพวกนี้สำคัญผิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ แล้วเที่ยวบิดเบือนผิดเป็นถูกต่อไปอีกไม่ได้
ในคำแถลงของ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยอมรับในตอนหนึ่งว่า การเลื่อนการประชุมออกไปทำให้รัฐบาลต้องเสียหน้าบ้าง แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายอื่นๆที่ตามมาแล้วถือว่ายังเป็นเรื่องรอง เพราะมันยังรวมไปถึงผลกระทบประชากรทุกคนในภูมิภาคนี้ที่ต้องเสียโอกาสในการพัฒนา โดยเฉพาะการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจที่ทุกคนกำลังเผชิญชะตากรรมร่วมกัน
ดังนั้นจะต้องหาคนรับผิดชอบให้ได้ !!