เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กลุ่มคนเสื้อแดงกำลังพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายโกหกหลอกลวงประชาชนและผู้ชุมนุม ที่สำคัญสงครามข้อมูลข่าวสารในยุคนี้ที่ประชาชนทั่วไปและสื่อมวลชนสามารถเก็บภาพและเสียงไว้ด้วยตัวเอง และนำเสนอให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบผ่านเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีมือถือ การส่งภาพและวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ต การขึ้นวิดีโอผ่านเว็บไซต์ชื่อดังอย่างยูทูบ ทำให้การโกหกประชาชนไม่สามารถจะทำได้ง่ายๆ อีกต่อไป
ที่ผ่านมาสงครามข้อมูลข่าวสารอาจกล่าวได้ว่า “กลุ่มคนเสื้อแดง” ได้พ่ายแพ้ต่อสงครามข้อมูลข่าวสารในยุคแห่งเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารอย่างสิ้นเชิง
เริ่มตั้งแต่การปลุกระดมมาโดยตลอดในวันที่ 12 เมษายน 2552 ว่ามีคนเสื้อแดงถูกยิงเสียชีวิต 2 คน ที่กระทรวงมหาดไทย จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนาม ไม่มีใครเก็บภาพได้ ไม่มีข่าว ซึ่งไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้แม้แต่กรณีเดียว
มีแต่ภาพความรุนแรงทุบรถยนต์ของนายกรัฐมนตรี และการทุบทำลายรถยนต์และทำร้ายร่างกายนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีอย่างโหดเหี้ยม จนเกือบเอาชีวิตกันไม่รอดหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
19 เมษายน 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เมื่อวันที่อธิบายกรณีการถูกกลุ่มคนเสื้อแดงล้อมรถและถูกทุบรถจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2552 ที่กระทรวงมหาดไทย ความตอนหนึ่งว่า:
“ผมได้ไปที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านความมั่นคง เพื่อแถลงถึงเหตุผลที่ต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่มีผู้ชุมนุมปิดล้อมกระทรวงและบุกเข้าไปภายใน ผมอยู่ในรถเห็นด้วยตาของตนเอง ต้องใช้คำว่ามีความพยายามชัดเจนที่จะไล่ล่า ทำร้ายถึงขั้นที่จะเอาชีวิตผม มีการเข้ามาทุบตีรถ ขณะเดียวกันรถคันอื่น หรือบุคคลอื่นๆ แทบจะเรียกได้ว่าหลายคนแทบจะเอาชีวิตมาไม่รอด”
การสั่งการให้เคลื่อนมวลชนไปที่หน้ากระทรวงมหาดไทย ได้ปรากฏเป็นคำถอดเทปจากดีสเตชั่นที่ถ่ายทอดสด เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2552 โดย นายสุพร อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ได้ประกาศบนเวทีความตอนหนึ่งว่า:
“เดี๋ยวผมพาไป...เราต้องเข้าไปที่มหาดไทยแล้วไม่ให้มีการแถลงข่าวเด็ดขาด พี่น้องเชิญครับ ผมไม่มีเวลาแล้วครับ ใครจะไปเชิญเลย”
13 เมษายน 2552 กลุ่มคนเสื้อแดงปลุกปั่นประชาชนให้หลงเชื่อว่า ทหารใช้อาวุธปืน M – 16 ฆ่าประชาชน จนเสียชีวิตจำนวนมาก และมีทหารเก็บศพขึ้นรถยีเอ็มซีของทหารเพื่อนำไปทำลายหลักฐาน จนถึงขั้นไปก่อกวนงานศพหลายแห่งเพื่อหวังจะหาศพคนที่เสียชีวิตที่อ้างว่าทหารฆ่าประชาชน ซึ่งก็ไม่สามารถหาศพที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บด้วยกระสุนปืน M-16 ได้แม้แต่รายเดียว
การโกหกคำโตและการปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงนั้นปรากฏเป็นหลักฐานจากการถอดเทปการถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ดีสเตชั่น เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2552 ดังนี้
น.พ.เหวง โตจิราการ “ผมยืนยันนะครับว่าผู้บาดเจ็บที่ผมไปดูที่โรงพยาบาลรามาเช้าวันนี้นะครับ ทุกรายบาดเจ็บจากกระสุนเอ็มสิบหกครับพี่น้อง...ช่วยเอารถเมล์ไปขวางทุกด่านเลยนะครับ ต้องเอารถเมล์มาขวางไว้นะครับ ขอให้รีบปฏิบัติการภายในเวลาสองชั่วโมงนี้...ท่านอาจจะต้องเอาสิ่งกีดขวางทั้งหลายทั้งปวงเนี่ยะนะครับ ทีวีที่เสียแล้วก็เอาโยนไว้กลางถนนเลย ตู้เย็นที่เสียแล้วนะครับโยนเอาไว้กลางถนนเลย รถเก่าๆ ที่เสียแล้วก็โยนไว้ที่กลางถนนเลย หรือไม่ท่านมีรถที่มีแรงปะทะสูงเนี่ยก็ขับชนเลย... พุ่งชนเลยครับไม่มีปัญหาเพราะว่ามันผิดกฎหมายจราจรเท่านั้นเอง ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้มีการชนกัน ทำเลยครับ เพราะวิธีการอย่างนี้จะเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุด
น.พ.เหวง โตจิราการ โกหกแบบไม่รับผิดชอบว่า “ทุกรายโดนกระสุน M- 16” ทั้งๆ ที่ตัวเองไปเห็นด้วยตัวเองที่โรงพยาบาลแล้ว และได้เห็นแล้วว่านายไสว ทองอ้ม ภาพชายคนที่ถูกทำมาปลุกระดมเกือบทั้งวันทั้งคืนว่าเสียชีวิตก็ไม่เป็นความจริง ไม่เคยมาแก้ไขให้ประชาชนเข้าใจอย่างถูกต้อง อีกทั้งยังปลุกระดมให้ประชาชนกระทำผิดกฎหมายต่อบ้านเมืองอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีคำปราศรัยสั่งการบนเวทีอีกหลายข้อความที่สอดคล้องกับการกระทำการจลาจล และชักชวนให้การกระทำผิดกฎหมายในวันที่ 13 เมษายน 2552 โดยที่ไม่ต้องอาศัยมือที่สามหรือคนเสื้อน้ำเงินแต่ประการใด
นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ “พี่น้องครับ ตอนนี้เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่าเราถูกกระทำทั้งฆ่า ทั้งทำร้ายจากทหารที่ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลโจรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พี่น้องมีสิทธิจะหยิบอาวุธขึ้นทำร้ายไอ้โจรที่มาปล้นแผ่นดิน ไม่ผิดกฎหมายครับ อาจารย์มานิตย์ยืนยัน ครับ มีปืนใช้ปืน มีมีดใช้มีด มีขวานใช้ขวาน มีจอบมีเสียม ทำลายโจรได้ครับไม่มีความผิดเพราะมันรับคำสั่งจากหัวหน้าโจร”
นายอดิศร เพียงเกษ “ขอกำลังไปซักห้าร้อยไปที่สามเหลี่ยมดินแดงก็พอนะครับ ไม่ต้องไปทำอะไรนะครับ คือ เจอทหารก็ขอปืนมา ไปยึดปืนจากทหารนั่นแหละ”
พิธีกรบนเวที (ไม่ทราบชื่อ) พูดบนเวทีในช่วงเช้าวันที่ 13 เมษายน 2552 ว่า “แท็กซี่สองแสนคันจะกระจายทุกจุดในกรุงเทพฯ แล้วจะปล่อยแก๊สและ NGV หมดทั้งประเทศ”
เวลาผ่านไปเกือบเดือนก็ไม่มีหลักฐานสักชิ้นเดียวว่ามีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากปืน M-16 ได้แต่อย่างไร นอกจากความรุนแรงที่กระทำโดยคนเสื้อแดง และสั่งการโดยคนบนเวทีคนเสื้อแดงเอง
กลุ่มคนเสื้อแดงต้องหน้าแตกอีกครั้งเมื่อทั้งสื่อในประเทศและต่างประเทศแทบทุกสำนักต่างถ่ายภาพและรายงานข่าวตรงกันว่าทหารใช้ปืน M-16 ยิงขึ้นฟ้า ความรุนแรงเกิดขึ้นจากฝ่ายคนเสื้อแดง ทั้งการยึดรถเมล์ เผารถเมล์ ใช้ถังแก๊สเปิดวาล์วกลางถนน ยึดรถบรรทุกแก๊สและเปิดวาลว์เพื่อก่อวินาศกรรม ใช้อาวุธปืนทำร้ายชาวบ้านที่มาต่อต้านการเผาบ้านเผาเมือง จนถูกประณามไปทั่วโลก
แม้แต่เรื่องตื้นๆ ที่ใส่ความว่าชายคนที่จิกผมผู้หญิงคนเสื้อแดง เป็นทหารคนหนึ่ง ก็ถูกจับได้ว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เมื่อทหารตัวจริงที่ไม่รู้เรื่องและถูกกล่าวคนนั้นก็ฟ้องหมิ่นประมาทนักการเมืองปากพล่อยไปเป็นที่เรียบร้อยอีก 1 คดี
เมื่อสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำและชื่อเสียงเหม็นเน่า เสื้อแดงจึงเปลี่ยนมุกใหม่ กล่าวหาว่ากลุ่มคนที่ทำให้เกิดความรุนแรงทั้งหมด เป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินและทหาร และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้อยู่ในรถยนต์ที่ถูกคนเสื้อแดงทุบทำลายในวันที่ 12 เมษายน 2552 ที่กระทรวงมหาดไทยแต่ประการใด
10 พฤษภาคม 2552 นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนหนึ่งของคนเสื้อแดง ได้พูดปราศรัยว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในรถและวางกับดักให้คนเสื้อแดงรุมทำร้ายรถทะเบียนเดียวกันที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้นั่งอยู่คันนั้น ได้ความตอนหนึ่งว่า
“ที่กระทรวงมหาดไทย นายกฯ ไม่ได้อยู่ในรถคันนั้น แต่ได้เปลี่ยนไปอยู่ในรถคันอื่น ที่เป็นเลขทะเบียนเดียวกัน โดยใช้เวลาเปลี่ยนรถเพียงแค่ไม่ถึง 1 นาที”
ตรรกะที่แปลกประหลาดเพราะสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่านายกรัฐมนตรีอยู่ในรถจริงหรือไม่!? แต่สาระสำคัญมีอยู่ว่าทำไมถึงได้มีคนเสื้อแดงเหล่านี้มารุมทำร้ายนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และทุบทำลายรถนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แบบบ้าคลั่ง คนเสื้อแดงเหล่านี้มุ่งหมายที่จะทำร้ายร่างกายหรือเจตนาพยายามฆ่านายกรัฐมนตรีเพราะเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีอยู่ในรถใช่หรือไม่!?
อย่างไรก็ตามกลุ่มคนเสื้อแดงก็ต้องถูกจับโกหกอีกครั้ง เมื่อนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแสดงภาพการขึ้นรถยนต์คันดังกล่าวออกจากกระทรวงมหาดไทย และตามมาด้วย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง และโฆษกฝ่ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่ออกมายืนยันว่านายกรัฐมนตรีอยู่ในรถอย่างชัดเจน เพราะเป็นคนที่ส่งนายกรัฐมนตรีขึ้นรถด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐาน ด้วยการถอดคำพูดบนเวทีคนเสื้อแดงที่ถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ ดีสเตชั่น ของคนเสื้อแดงเอง เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2552 หลังเหตุการณ์ความรุนแรงที่กระทำต่อรถนายกรัฐมนตรี โดยนายสุพร อัตถาวงศ์ (แรมโบ้อีสาน) ได้ขึ้นบนเวทีรายงานความตอนหนึ่งว่า:
“พี่น้อง มันใช้ปืนกลอูซี่ยิงพี่น้องเราตายไปสองศพ ส่งโรงพยาบาลตายไปอีกศพ พี่น้อง เนื่องจาก เราเห็นตัวนายอภิสิทธิ์ เราบอกว่าเราจะต้องเอาอภิสิทธิ์มาแลกกับจตุพรกับอริสมันต์ เราถึงจะยอม พอเราบุกจะไปจับตัวอภิสิทธิ์ มันก็รัวปืนกลใส่พวกเราเลย”
จากข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า นายสุพร อัตถาวงศ์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ “เห็นตัวนายอภิสิทธิ์” แสดงว่ารถที่คนเสื้อแดงตั้งใจจะไป “จับตัวอภิสิทธิ์” ไม่ผิดคัน และไม่มีการสลับคันตามที่กล่าวอ้างแต่ประการใด อีกทั้งยังพูดถึงการกระทำที่จะจับตัวนายอภิสิทธิ์เพื่อมาแลกกับนายจตุพรกับอริสมันต์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
ส่วนเรื่องคนตายสองศพนั้น ไม่มีหลักฐานมายืนยันอีกเช่นเคย จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน แกนนำคนเสื้อแดงอย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ขึ้นเวทีออกอาการสงสัยในความผิดปกติในข้อมูลของแรมโบ้อีสานผ่านการถ่ายทอดสดของ ดีสเตชั่น ความตอนหนึ่งว่า:
“แรมโบ้อีสานยังยืนยันกับผมจนวินาทีนี้นะครับว่า น่าจะมีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน แต่แปลกเหลือเกินจนป่านนี้ยังไม่ปรากฏเป็นข่าวยังไม่ปรากฏภาพร่างไร้วิญญาณของสองคนนั้นตามที่แรมโบ้อีสานยืนยัน นี่เป็นเรื่องต้องค้นหากันต่อไปนะครับว่าความจริงมันอยู่ที่ไหน ที่พูดอย่างงี้ไม่ใช่ผมจะมาบอกว่าแรมโบ้อีสานไม่น่าเชื่อ คนเราเนี่ยพี่น้องนำพาผู้คนออกไปสู้ คนเรานำผู้คนออกไปแนวหน้าแล้วเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นต่อสายตามาโกหกไม่ได้ครับ มาโกหกว่าคนถูกยิงเพื่อที่จะสร้างกระแสอะไรต่างๆ มันบาปติดตัวตายไปชั่วชีวิตพี่น้องครับ”
ขอบคุณสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ดีสเตชั่น ที่ถ่ายทอดสดให้เราได้มีโอกาสถอดคำพูดให้รู้สันดานธาตุแท้ของแกนนำคนเสื้อแดงว่าคนไหนจะสร้างบาปติดตัวตายไปชั่วชีวิต!
ที่ผ่านมาสงครามข้อมูลข่าวสารอาจกล่าวได้ว่า “กลุ่มคนเสื้อแดง” ได้พ่ายแพ้ต่อสงครามข้อมูลข่าวสารในยุคแห่งเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารอย่างสิ้นเชิง
เริ่มตั้งแต่การปลุกระดมมาโดยตลอดในวันที่ 12 เมษายน 2552 ว่ามีคนเสื้อแดงถูกยิงเสียชีวิต 2 คน ที่กระทรวงมหาดไทย จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนาม ไม่มีใครเก็บภาพได้ ไม่มีข่าว ซึ่งไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้แม้แต่กรณีเดียว
มีแต่ภาพความรุนแรงทุบรถยนต์ของนายกรัฐมนตรี และการทุบทำลายรถยนต์และทำร้ายร่างกายนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีอย่างโหดเหี้ยม จนเกือบเอาชีวิตกันไม่รอดหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
19 เมษายน 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เมื่อวันที่อธิบายกรณีการถูกกลุ่มคนเสื้อแดงล้อมรถและถูกทุบรถจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2552 ที่กระทรวงมหาดไทย ความตอนหนึ่งว่า:
“ผมได้ไปที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านความมั่นคง เพื่อแถลงถึงเหตุผลที่ต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่มีผู้ชุมนุมปิดล้อมกระทรวงและบุกเข้าไปภายใน ผมอยู่ในรถเห็นด้วยตาของตนเอง ต้องใช้คำว่ามีความพยายามชัดเจนที่จะไล่ล่า ทำร้ายถึงขั้นที่จะเอาชีวิตผม มีการเข้ามาทุบตีรถ ขณะเดียวกันรถคันอื่น หรือบุคคลอื่นๆ แทบจะเรียกได้ว่าหลายคนแทบจะเอาชีวิตมาไม่รอด”
การสั่งการให้เคลื่อนมวลชนไปที่หน้ากระทรวงมหาดไทย ได้ปรากฏเป็นคำถอดเทปจากดีสเตชั่นที่ถ่ายทอดสด เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2552 โดย นายสุพร อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ได้ประกาศบนเวทีความตอนหนึ่งว่า:
“เดี๋ยวผมพาไป...เราต้องเข้าไปที่มหาดไทยแล้วไม่ให้มีการแถลงข่าวเด็ดขาด พี่น้องเชิญครับ ผมไม่มีเวลาแล้วครับ ใครจะไปเชิญเลย”
13 เมษายน 2552 กลุ่มคนเสื้อแดงปลุกปั่นประชาชนให้หลงเชื่อว่า ทหารใช้อาวุธปืน M – 16 ฆ่าประชาชน จนเสียชีวิตจำนวนมาก และมีทหารเก็บศพขึ้นรถยีเอ็มซีของทหารเพื่อนำไปทำลายหลักฐาน จนถึงขั้นไปก่อกวนงานศพหลายแห่งเพื่อหวังจะหาศพคนที่เสียชีวิตที่อ้างว่าทหารฆ่าประชาชน ซึ่งก็ไม่สามารถหาศพที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บด้วยกระสุนปืน M-16 ได้แม้แต่รายเดียว
การโกหกคำโตและการปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงนั้นปรากฏเป็นหลักฐานจากการถอดเทปการถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ดีสเตชั่น เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2552 ดังนี้
น.พ.เหวง โตจิราการ “ผมยืนยันนะครับว่าผู้บาดเจ็บที่ผมไปดูที่โรงพยาบาลรามาเช้าวันนี้นะครับ ทุกรายบาดเจ็บจากกระสุนเอ็มสิบหกครับพี่น้อง...ช่วยเอารถเมล์ไปขวางทุกด่านเลยนะครับ ต้องเอารถเมล์มาขวางไว้นะครับ ขอให้รีบปฏิบัติการภายในเวลาสองชั่วโมงนี้...ท่านอาจจะต้องเอาสิ่งกีดขวางทั้งหลายทั้งปวงเนี่ยะนะครับ ทีวีที่เสียแล้วก็เอาโยนไว้กลางถนนเลย ตู้เย็นที่เสียแล้วนะครับโยนเอาไว้กลางถนนเลย รถเก่าๆ ที่เสียแล้วก็โยนไว้ที่กลางถนนเลย หรือไม่ท่านมีรถที่มีแรงปะทะสูงเนี่ยก็ขับชนเลย... พุ่งชนเลยครับไม่มีปัญหาเพราะว่ามันผิดกฎหมายจราจรเท่านั้นเอง ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้มีการชนกัน ทำเลยครับ เพราะวิธีการอย่างนี้จะเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุด
น.พ.เหวง โตจิราการ โกหกแบบไม่รับผิดชอบว่า “ทุกรายโดนกระสุน M- 16” ทั้งๆ ที่ตัวเองไปเห็นด้วยตัวเองที่โรงพยาบาลแล้ว และได้เห็นแล้วว่านายไสว ทองอ้ม ภาพชายคนที่ถูกทำมาปลุกระดมเกือบทั้งวันทั้งคืนว่าเสียชีวิตก็ไม่เป็นความจริง ไม่เคยมาแก้ไขให้ประชาชนเข้าใจอย่างถูกต้อง อีกทั้งยังปลุกระดมให้ประชาชนกระทำผิดกฎหมายต่อบ้านเมืองอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีคำปราศรัยสั่งการบนเวทีอีกหลายข้อความที่สอดคล้องกับการกระทำการจลาจล และชักชวนให้การกระทำผิดกฎหมายในวันที่ 13 เมษายน 2552 โดยที่ไม่ต้องอาศัยมือที่สามหรือคนเสื้อน้ำเงินแต่ประการใด
นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ “พี่น้องครับ ตอนนี้เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่าเราถูกกระทำทั้งฆ่า ทั้งทำร้ายจากทหารที่ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลโจรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พี่น้องมีสิทธิจะหยิบอาวุธขึ้นทำร้ายไอ้โจรที่มาปล้นแผ่นดิน ไม่ผิดกฎหมายครับ อาจารย์มานิตย์ยืนยัน ครับ มีปืนใช้ปืน มีมีดใช้มีด มีขวานใช้ขวาน มีจอบมีเสียม ทำลายโจรได้ครับไม่มีความผิดเพราะมันรับคำสั่งจากหัวหน้าโจร”
นายอดิศร เพียงเกษ “ขอกำลังไปซักห้าร้อยไปที่สามเหลี่ยมดินแดงก็พอนะครับ ไม่ต้องไปทำอะไรนะครับ คือ เจอทหารก็ขอปืนมา ไปยึดปืนจากทหารนั่นแหละ”
พิธีกรบนเวที (ไม่ทราบชื่อ) พูดบนเวทีในช่วงเช้าวันที่ 13 เมษายน 2552 ว่า “แท็กซี่สองแสนคันจะกระจายทุกจุดในกรุงเทพฯ แล้วจะปล่อยแก๊สและ NGV หมดทั้งประเทศ”
เวลาผ่านไปเกือบเดือนก็ไม่มีหลักฐานสักชิ้นเดียวว่ามีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากปืน M-16 ได้แต่อย่างไร นอกจากความรุนแรงที่กระทำโดยคนเสื้อแดง และสั่งการโดยคนบนเวทีคนเสื้อแดงเอง
กลุ่มคนเสื้อแดงต้องหน้าแตกอีกครั้งเมื่อทั้งสื่อในประเทศและต่างประเทศแทบทุกสำนักต่างถ่ายภาพและรายงานข่าวตรงกันว่าทหารใช้ปืน M-16 ยิงขึ้นฟ้า ความรุนแรงเกิดขึ้นจากฝ่ายคนเสื้อแดง ทั้งการยึดรถเมล์ เผารถเมล์ ใช้ถังแก๊สเปิดวาล์วกลางถนน ยึดรถบรรทุกแก๊สและเปิดวาลว์เพื่อก่อวินาศกรรม ใช้อาวุธปืนทำร้ายชาวบ้านที่มาต่อต้านการเผาบ้านเผาเมือง จนถูกประณามไปทั่วโลก
แม้แต่เรื่องตื้นๆ ที่ใส่ความว่าชายคนที่จิกผมผู้หญิงคนเสื้อแดง เป็นทหารคนหนึ่ง ก็ถูกจับได้ว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เมื่อทหารตัวจริงที่ไม่รู้เรื่องและถูกกล่าวคนนั้นก็ฟ้องหมิ่นประมาทนักการเมืองปากพล่อยไปเป็นที่เรียบร้อยอีก 1 คดี
เมื่อสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำและชื่อเสียงเหม็นเน่า เสื้อแดงจึงเปลี่ยนมุกใหม่ กล่าวหาว่ากลุ่มคนที่ทำให้เกิดความรุนแรงทั้งหมด เป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินและทหาร และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้อยู่ในรถยนต์ที่ถูกคนเสื้อแดงทุบทำลายในวันที่ 12 เมษายน 2552 ที่กระทรวงมหาดไทยแต่ประการใด
10 พฤษภาคม 2552 นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนหนึ่งของคนเสื้อแดง ได้พูดปราศรัยว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในรถและวางกับดักให้คนเสื้อแดงรุมทำร้ายรถทะเบียนเดียวกันที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้นั่งอยู่คันนั้น ได้ความตอนหนึ่งว่า
“ที่กระทรวงมหาดไทย นายกฯ ไม่ได้อยู่ในรถคันนั้น แต่ได้เปลี่ยนไปอยู่ในรถคันอื่น ที่เป็นเลขทะเบียนเดียวกัน โดยใช้เวลาเปลี่ยนรถเพียงแค่ไม่ถึง 1 นาที”
ตรรกะที่แปลกประหลาดเพราะสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่านายกรัฐมนตรีอยู่ในรถจริงหรือไม่!? แต่สาระสำคัญมีอยู่ว่าทำไมถึงได้มีคนเสื้อแดงเหล่านี้มารุมทำร้ายนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และทุบทำลายรถนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แบบบ้าคลั่ง คนเสื้อแดงเหล่านี้มุ่งหมายที่จะทำร้ายร่างกายหรือเจตนาพยายามฆ่านายกรัฐมนตรีเพราะเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีอยู่ในรถใช่หรือไม่!?
อย่างไรก็ตามกลุ่มคนเสื้อแดงก็ต้องถูกจับโกหกอีกครั้ง เมื่อนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแสดงภาพการขึ้นรถยนต์คันดังกล่าวออกจากกระทรวงมหาดไทย และตามมาด้วย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง และโฆษกฝ่ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่ออกมายืนยันว่านายกรัฐมนตรีอยู่ในรถอย่างชัดเจน เพราะเป็นคนที่ส่งนายกรัฐมนตรีขึ้นรถด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ยังปรากฏหลักฐาน ด้วยการถอดคำพูดบนเวทีคนเสื้อแดงที่ถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ ดีสเตชั่น ของคนเสื้อแดงเอง เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2552 หลังเหตุการณ์ความรุนแรงที่กระทำต่อรถนายกรัฐมนตรี โดยนายสุพร อัตถาวงศ์ (แรมโบ้อีสาน) ได้ขึ้นบนเวทีรายงานความตอนหนึ่งว่า:
“พี่น้อง มันใช้ปืนกลอูซี่ยิงพี่น้องเราตายไปสองศพ ส่งโรงพยาบาลตายไปอีกศพ พี่น้อง เนื่องจาก เราเห็นตัวนายอภิสิทธิ์ เราบอกว่าเราจะต้องเอาอภิสิทธิ์มาแลกกับจตุพรกับอริสมันต์ เราถึงจะยอม พอเราบุกจะไปจับตัวอภิสิทธิ์ มันก็รัวปืนกลใส่พวกเราเลย”
จากข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า นายสุพร อัตถาวงศ์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ “เห็นตัวนายอภิสิทธิ์” แสดงว่ารถที่คนเสื้อแดงตั้งใจจะไป “จับตัวอภิสิทธิ์” ไม่ผิดคัน และไม่มีการสลับคันตามที่กล่าวอ้างแต่ประการใด อีกทั้งยังพูดถึงการกระทำที่จะจับตัวนายอภิสิทธิ์เพื่อมาแลกกับนายจตุพรกับอริสมันต์ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
ส่วนเรื่องคนตายสองศพนั้น ไม่มีหลักฐานมายืนยันอีกเช่นเคย จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน แกนนำคนเสื้อแดงอย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ขึ้นเวทีออกอาการสงสัยในความผิดปกติในข้อมูลของแรมโบ้อีสานผ่านการถ่ายทอดสดของ ดีสเตชั่น ความตอนหนึ่งว่า:
“แรมโบ้อีสานยังยืนยันกับผมจนวินาทีนี้นะครับว่า น่าจะมีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน แต่แปลกเหลือเกินจนป่านนี้ยังไม่ปรากฏเป็นข่าวยังไม่ปรากฏภาพร่างไร้วิญญาณของสองคนนั้นตามที่แรมโบ้อีสานยืนยัน นี่เป็นเรื่องต้องค้นหากันต่อไปนะครับว่าความจริงมันอยู่ที่ไหน ที่พูดอย่างงี้ไม่ใช่ผมจะมาบอกว่าแรมโบ้อีสานไม่น่าเชื่อ คนเราเนี่ยพี่น้องนำพาผู้คนออกไปสู้ คนเรานำผู้คนออกไปแนวหน้าแล้วเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นต่อสายตามาโกหกไม่ได้ครับ มาโกหกว่าคนถูกยิงเพื่อที่จะสร้างกระแสอะไรต่างๆ มันบาปติดตัวตายไปชั่วชีวิตพี่น้องครับ”
ขอบคุณสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ดีสเตชั่น ที่ถ่ายทอดสดให้เราได้มีโอกาสถอดคำพูดให้รู้สันดานธาตุแท้ของแกนนำคนเสื้อแดงว่าคนไหนจะสร้างบาปติดตัวตายไปชั่วชีวิต!