รอยเตอร์ – ธนาคารแห่งอเมริกา (แบงก์ออฟอเมริกา หรือ BofA) กำลังถูกคาดหมายว่าจะต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้นถึง 34,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่รัฐบาลได้ทำการสำรวจความแข็งแกร่งของธนาคารใหญ่ในประเทศจำนวน 19 แห่งแล้ว
รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้ ในขณะที่ สกอตต์ ซิลเวสตรีโฆษกของธนาคารแห่งอเมริกา ไม่ยอมตอบคำถามใด ๆที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
หากเป็นดังที่แหล่งข่าวกล่าวมา แรงกดดันที่มีต่อ เคนเนธ ลิวอิส ซีอีโอของบีออฟเอ ก็จะเพิ่มขึ้นอีก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหลายก็ร่วมกันออกเสียงปลดเขาออกจากตำแหน่งประธานของธนาคารที่เวลานี้อยู่ในฐานะเป็นแบงก์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ
การถูกขับออกจากเก้าอี้ประธานดังกล่าว อาจจะกลายเป็นการปูพื้นสำหรับการที่ลิวอิสจะออกจากธนาคารแห่งนี้ในที่สุด หลังจากที่เขาทำงานอยู่ที่นี่มาถึง 40 ปี รวมทั้ง 8 ปีที่เขาดำรงตำแหน่งซีอีโอ
นอกจากนั้น ข่าวนี้ยังอาจทำให้นักลงทุนพากันตื่นตระหนก เพราะพวกเขาหวังว่าผลการตรวจสอบความแข็งแกร่งของแบงก์ออฟอเมริกาและอีก 18 ธนาคารน่าจะแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว
ทั้งนี้หุ้นของธนาคารใหญ่ ๆต่างดีดขึ้นเกือบสองเท่าตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา
ก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่ามีธนาคารใหญ่ 10 แห่งใน 19 แห่งที่รัฐบาลเข้าตรวจสอบ ที่น่าจะต้องระดมเพิ่มทุนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้สามารถรับมือกับวิกฤตที่อาจจะเลวร้ายต่อไปอีก
บรรดานักวิเคราะห์พากันคาดว่า มีธนาคารอื่น ๆ ที่น่าจะต้องการเงินทุนด้วยเช่นกัน อาจจะเนื่องจาก หลักทรัพย์สามัญที่มีตัวตน (tangible common equity) มีไม่เพียงพอ หรือกำลังประสบปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้น ธนาคารที่ถูกกล่าวว่าจะต้องเพิ่มทุนก็เช่น ซิตี้กรุ๊ป อิงค์, เวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค, ฟิฟธ์ เธิร์ด แบนคอรป์, จีแมค, คี คอร์ป, รีเจียนส์ ไฟแนนเชียล คอร์ป และ ซันทรัสต์ แบงก์ อิงค์
รัฐบาลได้ใช้เวลาสามเดือนเข้าตรวจสอบความมั่นคงของธนาคารใหญ่ที่สุด 19 แห่งในสหรัฐฯเพื่อให้รู้ว่าธนาคารเหล่านี้มีรายได้ การขาดทุน ความต้องการเงินทุนเท่าใด และจะสามารถฝ่าฟันพายุทางเศรษฐกิจระลอกใหม่ได้หรือไม่
ทางการมีแผนจะประกาศผลการตรวจสอบออกมาในวันพฤหัสบดี (7) ซึ่งหลายฝ่ายก็คาดว่าจะมีการเผยตัวเลขรวมทั้ง 19 ธนาคารและเป็นรายธนาคารด้วย
ธนาคารแห่งอเมริกาถูกมองว่าเป็นรายแรก ๆที่ต้องการเงินทุนเพิ่ม เพราะว่ากำลังเผชิญหน้ากับหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมทั้งผลของการเข้าควบรวมวาณิชธนกิจเมอร์ริล ลินช์ ซึ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 1 มกราคมปีนี้
ตัวเลขเพิ่มทุน 34,000 ล้านดอลลาร์นี้ มากกว่าที่สื่ออื่นๆ ได้เคยรายงานเอาไว้
ลิวอิสกล่าวกับนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 20 เมษายนว่า “เรามั่นใจว่าเราไม่ต้องการเงินทุนเพิ่มเติม” แต่ก็กล่าวด้วยว่าสถานการณ์ด้านสินเชื่อยังคงอ่อนตัวอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านบัตรเครดิต “ไม่ต้องสงสัยเลย ตลาดสินเชื่อย่ำแย่มาก และเราก็เชื่อว่าตลาดสินเชื่อจะย่ำแย่ลงกว่านี้อีก”
ธนาคารแห่งอเมริการายงานผลประกอบการไตรมาสแรกว่าได้กำไรเกินคาดหมาย แต่กำไรส่วนใหญ่นั้นมาจากรายการที่เข้ามาเพียงครั้งเดียว รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงระบบคำนวณทรัพย์สิน ซึ่งทำให้หลายฝ่ายคาดว่าในไตรมาสต่อไปผลประกอบการอาจจะไม่ดีเช่นนี้อีก
นอกจากนี้สินทรัพย์ที่ไม่เคลื่อนไหวของธนาคารก็พุ่งขึ้นถึง 41% ในช่วงไตรมาสที่แล้วหรือคิดเป็นมูลค่า 25,740 ล้านดอลลาร
อย่างไรก็ตามธนาคารกลางสหรัฐฯและกระทรวงการคลังก็ปฏิเสธที่จะยืนยันหรือพูดถึงสถานการณ์ของแบงก์ออฟอเมริกาในตอนนี้
แหล่งข่าวคนหนึ่งระบุว่า ธนาคารส่วนใหญ่ที่ถูกรัฐบาลเข้าตรวจสอบ มีแผนการที่จะแถลงข่าวในวันพรุ่งนี้(8) เพื่ออธิบายผลการประเมินของรัฐบาล นอกจากนี้ธนาคารหลายแห่งก็กำลังร่างแผนเพิ่มทุนอย่างเร่งรีบด้วย
รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับเรื่องนี้ ในขณะที่ สกอตต์ ซิลเวสตรีโฆษกของธนาคารแห่งอเมริกา ไม่ยอมตอบคำถามใด ๆที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
หากเป็นดังที่แหล่งข่าวกล่าวมา แรงกดดันที่มีต่อ เคนเนธ ลิวอิส ซีอีโอของบีออฟเอ ก็จะเพิ่มขึ้นอีก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหลายก็ร่วมกันออกเสียงปลดเขาออกจากตำแหน่งประธานของธนาคารที่เวลานี้อยู่ในฐานะเป็นแบงก์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ
การถูกขับออกจากเก้าอี้ประธานดังกล่าว อาจจะกลายเป็นการปูพื้นสำหรับการที่ลิวอิสจะออกจากธนาคารแห่งนี้ในที่สุด หลังจากที่เขาทำงานอยู่ที่นี่มาถึง 40 ปี รวมทั้ง 8 ปีที่เขาดำรงตำแหน่งซีอีโอ
นอกจากนั้น ข่าวนี้ยังอาจทำให้นักลงทุนพากันตื่นตระหนก เพราะพวกเขาหวังว่าผลการตรวจสอบความแข็งแกร่งของแบงก์ออฟอเมริกาและอีก 18 ธนาคารน่าจะแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว
ทั้งนี้หุ้นของธนาคารใหญ่ ๆต่างดีดขึ้นเกือบสองเท่าตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา
ก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่ามีธนาคารใหญ่ 10 แห่งใน 19 แห่งที่รัฐบาลเข้าตรวจสอบ ที่น่าจะต้องระดมเพิ่มทุนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้สามารถรับมือกับวิกฤตที่อาจจะเลวร้ายต่อไปอีก
บรรดานักวิเคราะห์พากันคาดว่า มีธนาคารอื่น ๆ ที่น่าจะต้องการเงินทุนด้วยเช่นกัน อาจจะเนื่องจาก หลักทรัพย์สามัญที่มีตัวตน (tangible common equity) มีไม่เพียงพอ หรือกำลังประสบปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้น ธนาคารที่ถูกกล่าวว่าจะต้องเพิ่มทุนก็เช่น ซิตี้กรุ๊ป อิงค์, เวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค, ฟิฟธ์ เธิร์ด แบนคอรป์, จีแมค, คี คอร์ป, รีเจียนส์ ไฟแนนเชียล คอร์ป และ ซันทรัสต์ แบงก์ อิงค์
รัฐบาลได้ใช้เวลาสามเดือนเข้าตรวจสอบความมั่นคงของธนาคารใหญ่ที่สุด 19 แห่งในสหรัฐฯเพื่อให้รู้ว่าธนาคารเหล่านี้มีรายได้ การขาดทุน ความต้องการเงินทุนเท่าใด และจะสามารถฝ่าฟันพายุทางเศรษฐกิจระลอกใหม่ได้หรือไม่
ทางการมีแผนจะประกาศผลการตรวจสอบออกมาในวันพฤหัสบดี (7) ซึ่งหลายฝ่ายก็คาดว่าจะมีการเผยตัวเลขรวมทั้ง 19 ธนาคารและเป็นรายธนาคารด้วย
ธนาคารแห่งอเมริกาถูกมองว่าเป็นรายแรก ๆที่ต้องการเงินทุนเพิ่ม เพราะว่ากำลังเผชิญหน้ากับหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมทั้งผลของการเข้าควบรวมวาณิชธนกิจเมอร์ริล ลินช์ ซึ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 1 มกราคมปีนี้
ตัวเลขเพิ่มทุน 34,000 ล้านดอลลาร์นี้ มากกว่าที่สื่ออื่นๆ ได้เคยรายงานเอาไว้
ลิวอิสกล่าวกับนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 20 เมษายนว่า “เรามั่นใจว่าเราไม่ต้องการเงินทุนเพิ่มเติม” แต่ก็กล่าวด้วยว่าสถานการณ์ด้านสินเชื่อยังคงอ่อนตัวอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านบัตรเครดิต “ไม่ต้องสงสัยเลย ตลาดสินเชื่อย่ำแย่มาก และเราก็เชื่อว่าตลาดสินเชื่อจะย่ำแย่ลงกว่านี้อีก”
ธนาคารแห่งอเมริการายงานผลประกอบการไตรมาสแรกว่าได้กำไรเกินคาดหมาย แต่กำไรส่วนใหญ่นั้นมาจากรายการที่เข้ามาเพียงครั้งเดียว รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงระบบคำนวณทรัพย์สิน ซึ่งทำให้หลายฝ่ายคาดว่าในไตรมาสต่อไปผลประกอบการอาจจะไม่ดีเช่นนี้อีก
นอกจากนี้สินทรัพย์ที่ไม่เคลื่อนไหวของธนาคารก็พุ่งขึ้นถึง 41% ในช่วงไตรมาสที่แล้วหรือคิดเป็นมูลค่า 25,740 ล้านดอลลาร
อย่างไรก็ตามธนาคารกลางสหรัฐฯและกระทรวงการคลังก็ปฏิเสธที่จะยืนยันหรือพูดถึงสถานการณ์ของแบงก์ออฟอเมริกาในตอนนี้
แหล่งข่าวคนหนึ่งระบุว่า ธนาคารส่วนใหญ่ที่ถูกรัฐบาลเข้าตรวจสอบ มีแผนการที่จะแถลงข่าวในวันพรุ่งนี้(8) เพื่ออธิบายผลการประเมินของรัฐบาล นอกจากนี้ธนาคารหลายแห่งก็กำลังร่างแผนเพิ่มทุนอย่างเร่งรีบด้วย
