ซัพพลายเออร์ครวญ ยอดขายหด หลังเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลยอดขาย “เดอะมอลล์” กลุ่มสินค้า เอ1 วืดเป้า 5% ใน 3เดือนแรก ปรับกลยุทธ์การขายใหม่ เน้นจัดการเม็ดเงินการตลาด ใช้อย่างระมัดระวังและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลูกค้ากระตุ้นยอดขายผ่านแคมเปญต่อเนื่องตลอดปี ภายใต้งบประมาณที่ลดลงจากปีก่อน
นายเชิงชาย ภูววีรานนท์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมรายได้ของกลุ่มสินค้า เอ1 ของทางเดอะมอลล์ กรุ๊ป ซึ่งประกอบไปด้วย เครื่องหนัง, เมนแวร์, สปอร์ต, กอล์ฟ, เด็ก, ทอย รวม กว่า 7 กลุ่มสินค้า ในช่วงไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยแล้วมียอดขายเติบโตลดลง 5% เทียบกับยอดขายในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเมนแวร์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าหลักมียอดขายลดลง จึงส่งผลให้ภาพรวมเติบโตลดลง
แน่นอนว่า เมื่อสินค้าในกลุ่มนี้ มียอดขายลดลง ในส่วนของซัพพลายเออร์ที่นำสินค้าแบรนด์ต่างๆในกลุ่มนี้มาวางจำหน่ายให้กับทางเดอะมอลล์ ย่อมได้รับกระทบโดยตรง ดังนั้นทางเดอะมอลล์จึงต้องมีการคิดแคมเปญกระตุ้นตลาดและช่วยซัพพลายเออร์ให้มียอดขายที่ดีขึ้น โดยกลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้คือ โปรโมชันส่งเสริมการขายสินค้าในราคาพิเศษ แบบระยะเวลาสั้นๆ
เน้นความแปลก แตกต่าง โดนใจผู้บริโภค โดยแบรนด์สินค้าที่เลือกมาทำโปรโมชั่นนั้น ต้องตรงกับช่วงฤดูกาลขายด้วยโดยจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตลอดปี ซึ่งเม็ดเงินสนับสนุนการจัดแคมเปญที่ทางเดอะมอลล์จะช่วยสนับสนุนให้แต่ละแบรนด์นั้น ก็จะนำมารวมกับงบการจัดแคมเปญของลูกค้า เพื่อมาใช้ในสื่อแมส เน้นสื่อสารให้เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงถือเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ช่วยให้คุมงบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายได้
โดยในส่วนของเดอะมอลล์เองนั้น งบการตลาดเพื่อใช้จัดแคมเปญตลอดปี ยอมรับว่าใช้ลดลงจากปีก่อน โดยปีนี้จะเน้นประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงบริหารจัดการเม็ดเงินให้คุ้มค่ามากที่สุด แต่ในส่วนของการจัดกิจกรรมนั้น ต้องไม่น้อยไปกว่าปีก่อน โดยเฉพาะปีนี้ที่ต้องเน้นกิจกรรมช่วยซัพพลายเออร์ตลอดปี
นายเชิงชาย กล่าวต่อว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าส่งผลต่อการทำธุรกิจ ในส่วนของเดอะมอลล์กรุ๊ป จากเดิมที่จะมีการเพิ่มแบรนด์สินค้าเข้ามาจำหน่าย ได้มีการชะลอแผนออกไปก่อน ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์นอก
แต่อย่างไรก็ตาม พบว่า ตั้งแต่ไตรมาสสองนี้เป็นต้นไป เริ่มเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น หลังจากที่มีการสลายม๊อบเสื้อแดง ผู้บริโภคเริ่มหันมาใช้จ่ายมากขึ้น แต่สำหรับเดอะมอลล์ ยังคงเฝ้ารอดูสถานการณ์อยู่ตลอด รวมถึงกลยุทธ์ทางการตลาดที่ปีนี้จะมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาแบบเดือนต่อเดือน ซึ่งใช้กลยุทธ์แบบนี้มาตั้งแต่ปีก่อน เชื่อว่าจะช่วยให้ยอดขายสินค้ากลุ่ม เอ1 ทั้งปี จะมียอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ เท่ากับรายได้ในปีก่อน ที่ทำได้กว่า 2,700 ล้านบาท
นายเชิงชาย ภูววีรานนท์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมรายได้ของกลุ่มสินค้า เอ1 ของทางเดอะมอลล์ กรุ๊ป ซึ่งประกอบไปด้วย เครื่องหนัง, เมนแวร์, สปอร์ต, กอล์ฟ, เด็ก, ทอย รวม กว่า 7 กลุ่มสินค้า ในช่วงไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยแล้วมียอดขายเติบโตลดลง 5% เทียบกับยอดขายในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเมนแวร์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าหลักมียอดขายลดลง จึงส่งผลให้ภาพรวมเติบโตลดลง
แน่นอนว่า เมื่อสินค้าในกลุ่มนี้ มียอดขายลดลง ในส่วนของซัพพลายเออร์ที่นำสินค้าแบรนด์ต่างๆในกลุ่มนี้มาวางจำหน่ายให้กับทางเดอะมอลล์ ย่อมได้รับกระทบโดยตรง ดังนั้นทางเดอะมอลล์จึงต้องมีการคิดแคมเปญกระตุ้นตลาดและช่วยซัพพลายเออร์ให้มียอดขายที่ดีขึ้น โดยกลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้คือ โปรโมชันส่งเสริมการขายสินค้าในราคาพิเศษ แบบระยะเวลาสั้นๆ
เน้นความแปลก แตกต่าง โดนใจผู้บริโภค โดยแบรนด์สินค้าที่เลือกมาทำโปรโมชั่นนั้น ต้องตรงกับช่วงฤดูกาลขายด้วยโดยจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตลอดปี ซึ่งเม็ดเงินสนับสนุนการจัดแคมเปญที่ทางเดอะมอลล์จะช่วยสนับสนุนให้แต่ละแบรนด์นั้น ก็จะนำมารวมกับงบการจัดแคมเปญของลูกค้า เพื่อมาใช้ในสื่อแมส เน้นสื่อสารให้เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงถือเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ช่วยให้คุมงบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายได้
โดยในส่วนของเดอะมอลล์เองนั้น งบการตลาดเพื่อใช้จัดแคมเปญตลอดปี ยอมรับว่าใช้ลดลงจากปีก่อน โดยปีนี้จะเน้นประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงบริหารจัดการเม็ดเงินให้คุ้มค่ามากที่สุด แต่ในส่วนของการจัดกิจกรรมนั้น ต้องไม่น้อยไปกว่าปีก่อน โดยเฉพาะปีนี้ที่ต้องเน้นกิจกรรมช่วยซัพพลายเออร์ตลอดปี
นายเชิงชาย กล่าวต่อว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าส่งผลต่อการทำธุรกิจ ในส่วนของเดอะมอลล์กรุ๊ป จากเดิมที่จะมีการเพิ่มแบรนด์สินค้าเข้ามาจำหน่าย ได้มีการชะลอแผนออกไปก่อน ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์นอก
แต่อย่างไรก็ตาม พบว่า ตั้งแต่ไตรมาสสองนี้เป็นต้นไป เริ่มเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น หลังจากที่มีการสลายม๊อบเสื้อแดง ผู้บริโภคเริ่มหันมาใช้จ่ายมากขึ้น แต่สำหรับเดอะมอลล์ ยังคงเฝ้ารอดูสถานการณ์อยู่ตลอด รวมถึงกลยุทธ์ทางการตลาดที่ปีนี้จะมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาแบบเดือนต่อเดือน ซึ่งใช้กลยุทธ์แบบนี้มาตั้งแต่ปีก่อน เชื่อว่าจะช่วยให้ยอดขายสินค้ากลุ่ม เอ1 ทั้งปี จะมียอดขายเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ เท่ากับรายได้ในปีก่อน ที่ทำได้กว่า 2,700 ล้านบาท