เอเอฟพี – รายงานของรัฐบาลญี่ปุ่นที่เผยแพร่วานนี้(22)ชี้ ยอดการส่งออกได้ลดการทรุดตัวลงเมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้เกิดความหวังขึ้นมาว่า ประเทศเจ้าของเศรษฐกิจรายใหญ่อันดับสองของโลกแห่งนี้ น่าจะผ่านพ้นช่วงตกต่ำที่สุดของวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยอันร้ายแรงที่สุดในรอบ 80 ปีครั้งนี้ไปได้แล้ว นอกจากนั้นในวันเดียวกันนิ้เอง รัฐสภาได้ผ่านความเห็นชอบกฎหมายฟื้นฟูธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งอนุญาตให้ภาครัฐอัดฉีดเงินช่วยเหลือกิจการบริษัทต่างๆ ที่กำลังลำบาก
นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า ภาพที่ดูสดใสมากขึ้นของญี่ปุ่นเช่นนี้ เป็นไปในทำนองเดียวกับชาติเศรษฐกิจใหญ่อื่นๆ อาทิ สหรัฐฯ และจีน จึงอาจเป็นสัญญาณว่าการทรุดตัวของเศรษฐกิจโลกน่าจะกำลังคลี่คลายกันบ้างแล้ว ถึงแม้การฟื้นตัวจริงยังจะมาไม่ถึงในเร็ววัน
ตามรายงานของกระทรวงการคลังญี่ปุ่นวานนี้ ยอดส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนมีนาคมลดลง 45.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว แต่นับว่าดีขึ้นกว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งมียอดการส่งออกลดลงเป็นประวัติการณ์ถึง 49.4 เปอร์เซ็นต์
ริชาร์ด เจอร์แรม หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำแมคควอรี ซีเคียวริตีส์ได้เปรียบเทียบยอดส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนกุมภาพันธ์กับมีนาคม และชี้ว่าการส่งออกของญี่ปุ่นแตะระดับต่ำสุดไปแล้ว เขาบอก “การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม น่าจะเห็นได้ชัดเจนในไตรมาสที่ 2 ของปี 2009”
ก่อนหน้านี้ ความหวังที่จะเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวก็เริ่มส่อเค้ามาบ้างแล้ว ตั้งแต่ที่รัฐบาลรายงานข้อมูลตัวเลขคำสั่งซื้อเครื่องจักรในเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งกระเตื้องเพิ่มขึ้นเกินคาดหมาย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการค้าที่แถลงออกมาคราวนี้ ก็มีสิ่งซึ่งชี้ให้เห็นปัญหาอันสาหัสที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญอยู่เช่นกัน กล่าวคือ เมื่อคำนวณตลอดทั้งปีงบประมาณที่เพิ่งสิ้นสุดลง (เม.ย.2008-มี.ค.2009) ปรากฏว่าญี่ปุ่นประสบภาวะขาดดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบสามทศวรรษ
กระทรวงการคลังระบุว่ายอดขาดดุลการค้าในปีงบประมาณดังกล่าวสูงถึง 725,300 ล้านเยน
รัฐมนตรีคลัง คาโอรุ โยซาโน แถลงว่ารัฐบาลต้องตรวจสอบดูว่าความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศของญี่ปุ่นในด้านการผลิตสินค้านั้น ได้อ่อนตัวลงหรือไม่
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังคาดหมายว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 15.4 ล้านล้านเยน (156,000 ล้านดอลลาร์) ซึ่งคิดเป็นราว 3 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี จะช่วยบรรเทาวิกฤตทางเศรษฐกิจไปได้
นักวิเคราะห์หลายคนยังมีความหวังเพิ่มขึ้น จากการที่จีนซึ่งประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล กำลังทำท่าเริ่มฟื้นตัว
“การส่งออกไปยังจีนเป็นตัวที่มีอัตราเติบโตในทางบวก สะท้อนถึงอุปสงค์ความต้องการภายในประเทศของจีนที่เป็นไปอย่างมั่นคง นอกจากนั้น การหดตัวของอุปสงค์สุดท้ายในสหรัฐฯนั้น ในที่สุดก็เริ่มผ่อนคลายลงแล้ว” ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร อาร์บีเอส ในโตเกียว กล่าวในรายงานซึ่งส่งถึงลูกค้า
**เร่งอัดฉีดเงินกอบกู้ธุรกิจ**
เมื่อวานนี้เช่นกัน รัฐสภาญี่ปุ่นได้ผ่านความเห็นชอบกฎหมายฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมที่อนุญาตให้รัฐบาลอัดฉีดเงินช่วยเหลือแก่ภาคธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาทางการเงินได้
คาดว่าผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐหลายล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไพโอเนียร์, ฮิตาชิ, และเอลพิดา เมโมรี ที่เตรียมยื่นขอรับความช่วยเหลือดังกล่าวโดยยอมแลกกับหุ้นของบริษัท และปฏิบัติตามเงื่อนไขของรัฐบาล รวมทั้งต้องมีการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการประกอบด้วย
หนังสือพิมพ์นิเกอิรายงานว่า ไพโอเนียร์คาดว่าจะได้รับเงินช่วยเหลือ 303 ล้านดอลลาร์ ส่วนเอลพิดาต้องการเงินช่วยเหลือ 508 ล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า ภาพที่ดูสดใสมากขึ้นของญี่ปุ่นเช่นนี้ เป็นไปในทำนองเดียวกับชาติเศรษฐกิจใหญ่อื่นๆ อาทิ สหรัฐฯ และจีน จึงอาจเป็นสัญญาณว่าการทรุดตัวของเศรษฐกิจโลกน่าจะกำลังคลี่คลายกันบ้างแล้ว ถึงแม้การฟื้นตัวจริงยังจะมาไม่ถึงในเร็ววัน
ตามรายงานของกระทรวงการคลังญี่ปุ่นวานนี้ ยอดส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนมีนาคมลดลง 45.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว แต่นับว่าดีขึ้นกว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งมียอดการส่งออกลดลงเป็นประวัติการณ์ถึง 49.4 เปอร์เซ็นต์
ริชาร์ด เจอร์แรม หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำแมคควอรี ซีเคียวริตีส์ได้เปรียบเทียบยอดส่งออกของญี่ปุ่นในเดือนกุมภาพันธ์กับมีนาคม และชี้ว่าการส่งออกของญี่ปุ่นแตะระดับต่ำสุดไปแล้ว เขาบอก “การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม น่าจะเห็นได้ชัดเจนในไตรมาสที่ 2 ของปี 2009”
ก่อนหน้านี้ ความหวังที่จะเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวก็เริ่มส่อเค้ามาบ้างแล้ว ตั้งแต่ที่รัฐบาลรายงานข้อมูลตัวเลขคำสั่งซื้อเครื่องจักรในเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งกระเตื้องเพิ่มขึ้นเกินคาดหมาย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการค้าที่แถลงออกมาคราวนี้ ก็มีสิ่งซึ่งชี้ให้เห็นปัญหาอันสาหัสที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญอยู่เช่นกัน กล่าวคือ เมื่อคำนวณตลอดทั้งปีงบประมาณที่เพิ่งสิ้นสุดลง (เม.ย.2008-มี.ค.2009) ปรากฏว่าญี่ปุ่นประสบภาวะขาดดุลการค้าเป็นครั้งแรกในรอบสามทศวรรษ
กระทรวงการคลังระบุว่ายอดขาดดุลการค้าในปีงบประมาณดังกล่าวสูงถึง 725,300 ล้านเยน
รัฐมนตรีคลัง คาโอรุ โยซาโน แถลงว่ารัฐบาลต้องตรวจสอบดูว่าความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศของญี่ปุ่นในด้านการผลิตสินค้านั้น ได้อ่อนตัวลงหรือไม่
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังคาดหมายว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 15.4 ล้านล้านเยน (156,000 ล้านดอลลาร์) ซึ่งคิดเป็นราว 3 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี จะช่วยบรรเทาวิกฤตทางเศรษฐกิจไปได้
นักวิเคราะห์หลายคนยังมีความหวังเพิ่มขึ้น จากการที่จีนซึ่งประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล กำลังทำท่าเริ่มฟื้นตัว
“การส่งออกไปยังจีนเป็นตัวที่มีอัตราเติบโตในทางบวก สะท้อนถึงอุปสงค์ความต้องการภายในประเทศของจีนที่เป็นไปอย่างมั่นคง นอกจากนั้น การหดตัวของอุปสงค์สุดท้ายในสหรัฐฯนั้น ในที่สุดก็เริ่มผ่อนคลายลงแล้ว” ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร อาร์บีเอส ในโตเกียว กล่าวในรายงานซึ่งส่งถึงลูกค้า
**เร่งอัดฉีดเงินกอบกู้ธุรกิจ**
เมื่อวานนี้เช่นกัน รัฐสภาญี่ปุ่นได้ผ่านความเห็นชอบกฎหมายฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมที่อนุญาตให้รัฐบาลอัดฉีดเงินช่วยเหลือแก่ภาคธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาทางการเงินได้
คาดว่าผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐหลายล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไพโอเนียร์, ฮิตาชิ, และเอลพิดา เมโมรี ที่เตรียมยื่นขอรับความช่วยเหลือดังกล่าวโดยยอมแลกกับหุ้นของบริษัท และปฏิบัติตามเงื่อนไขของรัฐบาล รวมทั้งต้องมีการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการประกอบด้วย
หนังสือพิมพ์นิเกอิรายงานว่า ไพโอเนียร์คาดว่าจะได้รับเงินช่วยเหลือ 303 ล้านดอลลาร์ ส่วนเอลพิดาต้องการเงินช่วยเหลือ 508 ล้านดอลลาร์
