รอยเตอร์/เอเยนซีส์ - จอร์จ โซรอส พ่อมดนักเก็งกำไรชื่อก้องโลกที่เคยทำให้ไทยกระอักมาแล้ว ออกมากล่าวเมื่อวันพุธ(25)ว่า การประชุมสุดยอดในสัปดาห์หน้าของกลุ่มจี 20 มีความสำคัญในระดับเป็นเหตุการณ์ที่จะทำให้ตลาดการเงินทั่วโลก "อยู่หรือไป" ทีเดียว
"หากว่าการประชุมคราวนี้ไม่ได้มีมาตรการทรงประสิทธิภาพออกมาเพื่อช่วยเหลือประเทศอยู่ภายในขอบเขตระบบการเงินโลกแล้ว ตลาดก็จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางลบอีกครั้ง เหมือนคราววันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อบรรดาเจ้าหน้าที่ต่าง ๆไม่สามารถจะหามาตรการที่มีผลในทางปฏิบัติ เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบการธนาคารของสหรัฐฯได้" โซรอสกล่าวในการให้ปากคำต่อคณกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ
โซรอสบอกว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา สามารถที่จะช่วยให้การประชุมจี 20 ประสบความสำเร็จได้ โดยการนำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาที่เป็นไปได้ เพื่อให้บรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ตั้งแต่ยุโรปตะวันออกจนถึงอัฟริกา สามารถกู้ยืมได้เพิ่มมากขึ้นจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)
เขาชี้ว่า ภารกิจอันเร่งด่วนในการทำให้เศรษฐกิจโลกลอยขึ้นมาเหนือภาวะตกต่ำอีกครั้งที่สำคัญแล้วจะต้องเป็นของไอเอ็มเอฟ "แม้ว่าองค์การนี้จะมีจุดด้อยและไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร แต่ก็เป็นองค์การเดียวที่มีอยู่" โซรอสกล่าว
โซรอสบอกว่าแม้ว่าในการประชุมระดับผู้นำกลุ่มจี 20 ที่กรุงลอนดอนวันที่ 4 เมษายนนี้ จะมีการผลักดันให้เพิ่มเม็ดเงินทุนแก่ไอเอ็มเอฟอย่างน้อยเท่าตัว เพื่อให้ไอเอ็มเอฟสามารถตอบสนองความต้องการของประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาได้มากขึ้น แต่ว่าแนวทางนี้ไม่สามารถที่จะช่วยให้ประเทศที่กำลังพัฒนาแล้วแก้ไขปัญหาที่ตนเองเผชิญอย่างเป็นระบบได้เลย
โซรอสเห็นว่าการแก้ไขอย่างเป็นระบบนี้ควรจะเป็นไปในรูปของใช้ "สิทธิการถอนเงินพิเศษ" (special drawing rights หรือ SDR) ซึ่งเป็นสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศที่ไอเอ็มเอฟสร้างขึ้นเมื่อปี 1969 อันมีศักยภาพที่จะยกระดับขึ้นเป็นสกุลเงินตราสำรองระหว่างประเทศในระดับเหนือรัฐ
นักเก็งกำไรชื่อดังผู้นี้บอกว่า นอกจากจะมีการเพิ่มเม็ดเงินให้แก่ไอเอ็มเอฟกันครั้งเดียวดังที่มีการเสนอแนะกันแล้ว ยังควรที่จะให้ไอเอ็มเอฟสามารถออกเงินตราเอสดีอาร์ใหม่ๆ เป็นรายปีในจำนวนมากพอสมควร เช่น 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวไปจนกว่าภาวะนี้จะสิ้นสุดลง
แม้ว่าตอนนี้อาจจะช้าเกินไปแล้วสำหรับการเจรจาเพื่อออกเอสดีอาร์ในช่วงการประชุมสุดยอด จี 20 "แต่ถ้าหากว่าประธานาธิบดีโอบามานำเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา ก็จะทำให้ตลาดเริ่มคึกคักมากขึ้นและทำให้การประชุมนี้มีประสบความสำเร็จอันสำคัญ" โซรอสกล่าว
โซรอสเตือนว่าหากว่าสหรัฐฯไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะผู้นำโลกเพื่อแก้ไขปัญหาที่โลกกำลังเผชิญหน้าอยู่ "เราก็จะไม่สามารถเป็นผู้นำในตลาดการเงินโลกได้อีกต่อไป"
และหากว่าระบบการเงินโลกแตกเป็นเสี่ยง ๆ "จีนก็อาจจะขึ้นมาเป็นผู้นำได้" เขาชี้
ในขณะที่สหรัฐฯต้องการกลับมารุ่งเรืองดังเดิม และยุโรปต้องการให้มีการกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น "ก็น่าจะเป็นไปได้ที่จะหาข้อตกลงร่วมกันที่สามารถปกป้องประเทศต่าง ๆจากความหายนะที่พวกเขาไม่ได้สร้างขึ้น" โซรอสบอก
"จริง ๆแล้ว เราก็ต้องการทั้งสองอย่างทั้งกลับมารุ่งเรืองและการกำกับดูแลที่เข้มงวด แต่การพลิกฟื้นสถานการณ์ให้ดีขึ้นเป็นสิ่งที่เร่งด่วนมากกว่า และการปฏิรูปกฏระเบียบต้องใช้เวลาในการดำเนินการอยู่บ้าง" โซรอสสรุป
"หากว่าการประชุมคราวนี้ไม่ได้มีมาตรการทรงประสิทธิภาพออกมาเพื่อช่วยเหลือประเทศอยู่ภายในขอบเขตระบบการเงินโลกแล้ว ตลาดก็จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางลบอีกครั้ง เหมือนคราววันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อบรรดาเจ้าหน้าที่ต่าง ๆไม่สามารถจะหามาตรการที่มีผลในทางปฏิบัติ เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบการธนาคารของสหรัฐฯได้" โซรอสกล่าวในการให้ปากคำต่อคณกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ
โซรอสบอกว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา สามารถที่จะช่วยให้การประชุมจี 20 ประสบความสำเร็จได้ โดยการนำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาที่เป็นไปได้ เพื่อให้บรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ตั้งแต่ยุโรปตะวันออกจนถึงอัฟริกา สามารถกู้ยืมได้เพิ่มมากขึ้นจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)
เขาชี้ว่า ภารกิจอันเร่งด่วนในการทำให้เศรษฐกิจโลกลอยขึ้นมาเหนือภาวะตกต่ำอีกครั้งที่สำคัญแล้วจะต้องเป็นของไอเอ็มเอฟ "แม้ว่าองค์การนี้จะมีจุดด้อยและไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร แต่ก็เป็นองค์การเดียวที่มีอยู่" โซรอสกล่าว
โซรอสบอกว่าแม้ว่าในการประชุมระดับผู้นำกลุ่มจี 20 ที่กรุงลอนดอนวันที่ 4 เมษายนนี้ จะมีการผลักดันให้เพิ่มเม็ดเงินทุนแก่ไอเอ็มเอฟอย่างน้อยเท่าตัว เพื่อให้ไอเอ็มเอฟสามารถตอบสนองความต้องการของประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาได้มากขึ้น แต่ว่าแนวทางนี้ไม่สามารถที่จะช่วยให้ประเทศที่กำลังพัฒนาแล้วแก้ไขปัญหาที่ตนเองเผชิญอย่างเป็นระบบได้เลย
โซรอสเห็นว่าการแก้ไขอย่างเป็นระบบนี้ควรจะเป็นไปในรูปของใช้ "สิทธิการถอนเงินพิเศษ" (special drawing rights หรือ SDR) ซึ่งเป็นสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศที่ไอเอ็มเอฟสร้างขึ้นเมื่อปี 1969 อันมีศักยภาพที่จะยกระดับขึ้นเป็นสกุลเงินตราสำรองระหว่างประเทศในระดับเหนือรัฐ
นักเก็งกำไรชื่อดังผู้นี้บอกว่า นอกจากจะมีการเพิ่มเม็ดเงินให้แก่ไอเอ็มเอฟกันครั้งเดียวดังที่มีการเสนอแนะกันแล้ว ยังควรที่จะให้ไอเอ็มเอฟสามารถออกเงินตราเอสดีอาร์ใหม่ๆ เป็นรายปีในจำนวนมากพอสมควร เช่น 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวไปจนกว่าภาวะนี้จะสิ้นสุดลง
แม้ว่าตอนนี้อาจจะช้าเกินไปแล้วสำหรับการเจรจาเพื่อออกเอสดีอาร์ในช่วงการประชุมสุดยอด จี 20 "แต่ถ้าหากว่าประธานาธิบดีโอบามานำเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา ก็จะทำให้ตลาดเริ่มคึกคักมากขึ้นและทำให้การประชุมนี้มีประสบความสำเร็จอันสำคัญ" โซรอสกล่าว
โซรอสเตือนว่าหากว่าสหรัฐฯไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะผู้นำโลกเพื่อแก้ไขปัญหาที่โลกกำลังเผชิญหน้าอยู่ "เราก็จะไม่สามารถเป็นผู้นำในตลาดการเงินโลกได้อีกต่อไป"
และหากว่าระบบการเงินโลกแตกเป็นเสี่ยง ๆ "จีนก็อาจจะขึ้นมาเป็นผู้นำได้" เขาชี้
ในขณะที่สหรัฐฯต้องการกลับมารุ่งเรืองดังเดิม และยุโรปต้องการให้มีการกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น "ก็น่าจะเป็นไปได้ที่จะหาข้อตกลงร่วมกันที่สามารถปกป้องประเทศต่าง ๆจากความหายนะที่พวกเขาไม่ได้สร้างขึ้น" โซรอสบอก
"จริง ๆแล้ว เราก็ต้องการทั้งสองอย่างทั้งกลับมารุ่งเรืองและการกำกับดูแลที่เข้มงวด แต่การพลิกฟื้นสถานการณ์ให้ดีขึ้นเป็นสิ่งที่เร่งด่วนมากกว่า และการปฏิรูปกฏระเบียบต้องใช้เวลาในการดำเนินการอยู่บ้าง" โซรอสสรุป
