ด้วยความที่เกิดมาหูหนวกและเป็นใบ้ในครอบครัวที่พ่อแม่พี่น้องมีอาการครบ 32 เอลวี ครุก จึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในโลกของตัวเองเพียงลำพัง
เบ็กกี้ แม่ของเด็กหญิงวัย 7 ขวบ บอกว่าไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนที่จะดึงเอลวีเข้าสู่ชีวิตครอบครัว แต่หนูน้อยมักขัดขืนด้วยความรู้สึกในใจว่าเธอแตกต่างจากคนอื่น
เอลวีได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการหูไม่รับรู้เสียงความถี่สูงเมื่ออายุ 2 ขวบครึ่ง ก่อนหน้านั้นเธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงทุ้มต่ำเท่านั้น เช่น เสียงปิดประตู หรือเสียงพ่อ ดังนั้น กว่าจะรู้ว่าเด็กหญิงมีปัญหาก็เมื่อเจ้าตัวไม่ยอมพูดกับพ่อแม่เท่านั้น
ในครอบครัวครุกไม่เคยมีใครมีปัญหาในการได้ยิน เอลวีมีพี่สาวชื่อว่าแมดดี้ วัย 11 ปี และพ่อ อายุ 38 ปีที่เป็นตำรวจ แรกๆ ทุกคนจึงมีปัญหากับการรับมือเรื่องนี้
“ฉันรู้สึกแย่มาก เอาแต่บ่นกับเดฟว่าสังคมเราไม่ค่อยใส่ใจคนพิการ ฉันกลัวว่าอาการนี้จะกัดกินชีวิตของเธอ อุปกรณ์ช่วยฟังทำให้เอลวีได้ยินเสียงเพียง 60% แต่ก็สร้างปัญหาตามมาอีกมากมาย
“ก่อนพาไปตรวจ เอลวีไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยยกเว้นเสียงต่ำ โลกเงียบงันสำหรับแก” เบ็กกี้ ผู้ช่วยครูวัย 40 ปีจากดาร์บี้เชียร์ อังกฤษ เล่า
“แล้วอยู่ๆ แกก็ถูกรุมเร้าด้วยเสียงต่างๆ ทุกวันเอลวีจะมีปัญหากับเสียง แกร้องไห้และพยายามดึงเครื่องช่วยฟังออก แม้แต่เสียงนกร้องหรือเสียงลมพัดใบไม้ไหวยังทำให้แกเจ็บปวด”
แม้แต่ตอนนอนปัญหาก็ยังตามมารบกวน
“พอเริ่มชินกับอุปกรณ์ช่วยฟังแล้ว แกยังทุกข์พอกันเวลานอนและกลับสู่โลกเงียบสนิท แต่ถ้าใส่อุปกรณ์นอน เสียงหวีดแหลมของมันจะทำให้เราตื่นกันหมด
“ความเงียบทำให้แกฝันร้าย ทุกคืนแกจะตื่นขึ้นกลางดึกและมาขอนอนกับเรา เราทุกคนเหนื่อยล้าและนั่นทำให้เอลวีเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น แกมักดื้อและเรียกร้องความสนใจ และยังมีปัญหาที่โรงเรียน เอลวีเปลี่ยนเพื่อนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เพราะเข้ากับใครนานๆ ไม่ค่อยได้”
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อห้าเดือนที่แล้วที่เอลวีและครอบครัวได้รับการตอบรับจากโครงการนำร่องของมูลนิธิเฮียริ่งด็อกส์ ที่จัดหาสุนัขผู้ช่วยสำหรับผู้ใหญ่ที่หูหนวกและเป็นใบ้มานานเกือบ 30 ปี และต้องการศึกษาว่าเด็กจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้เหมือนกับคนโตๆ หรือไม่
แผนการริเริ่มระยะสองปีเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 12 เดือนที่แล้ว โดยมี 6 ครอบครัวสมัครเข้าโครงการจากที่เปิดรับทั้งหมด 12 ครอบครัว ซึ่งต้องเป็นครอบครัวที่มีเด็กหูหนวกและเป็นใบ้อายุระหว่าง 6-11 ปี
ไอเดียของโครงการนี้คือสุนัขที่ได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษจะช่วยเตือนเด็กเมื่อมีเสียงต่างๆ ที่ต้องตอบสนอง เช่น แม่เรียก หรือสัญญาณไฟไหม้ หรือมีรถเฉียดเข้ามาใกล้ เจ้าตูบเหล่านี้ยังนอนข้างๆ เตียงเพื่อรอปลุกเด็กตอนเช้า
เจนนี มัวร์ โฆษกเฮียริ่งด็อก เสริมว่าหมาเหล่านี้ยังมีโบนัสพิเศษมาแจกให้เด็กพิการ
“พ่อแม่หลายคนเล่าว่า ลูกได้ประโยชน์ในแง่ของสภาพจิตใจด้วย เด็กหูหนวกและเป็นใบ้หลายคนนอนหลับไม่ค่อยสนิทเวลาถอดอุปกรณ์ช่วยฟังตอนกลางคืน เพราะรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แต่เด็กในโครงการของเราหลับสบายเพราะรู้สึกปลอดภัยที่มีสุนัขมานอนเป็นเพื่อนด้วย ทำให้เพลียน้อยลงส่งผลให้มีพฤติกรรมดีขึ้น
“ทุกคนในโครงการบอกว่าลูกมั่นใจและมีความสุขมากกว่าแต่ก่อน และนี่ถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง”
เอลวีนั้นเป็นเด็กอายุน้อยที่สุดที่เข้าร่วมโครงการ โดยได้ลาบราดอร์สองขวบชื่อเจมมาเป็นผู้ช่วยฟัง
“เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่เอลวีหลับสนิทถึงเช้าทุกคืน เธอแจ่มใสร่าเริงขึ้น มีเพื่อนที่โรงเรียนมากขึ้นและมีพัฒนาการด้านพฤติกรรม
“สำหรับเราเจมเป็นมากกว่าหมา เพราะเจมเปลี่ยนแปลงชีวิตลูกของเรา”
เบ็กกี้ แม่ของเด็กหญิงวัย 7 ขวบ บอกว่าไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนที่จะดึงเอลวีเข้าสู่ชีวิตครอบครัว แต่หนูน้อยมักขัดขืนด้วยความรู้สึกในใจว่าเธอแตกต่างจากคนอื่น
เอลวีได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการหูไม่รับรู้เสียงความถี่สูงเมื่ออายุ 2 ขวบครึ่ง ก่อนหน้านั้นเธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงทุ้มต่ำเท่านั้น เช่น เสียงปิดประตู หรือเสียงพ่อ ดังนั้น กว่าจะรู้ว่าเด็กหญิงมีปัญหาก็เมื่อเจ้าตัวไม่ยอมพูดกับพ่อแม่เท่านั้น
ในครอบครัวครุกไม่เคยมีใครมีปัญหาในการได้ยิน เอลวีมีพี่สาวชื่อว่าแมดดี้ วัย 11 ปี และพ่อ อายุ 38 ปีที่เป็นตำรวจ แรกๆ ทุกคนจึงมีปัญหากับการรับมือเรื่องนี้
“ฉันรู้สึกแย่มาก เอาแต่บ่นกับเดฟว่าสังคมเราไม่ค่อยใส่ใจคนพิการ ฉันกลัวว่าอาการนี้จะกัดกินชีวิตของเธอ อุปกรณ์ช่วยฟังทำให้เอลวีได้ยินเสียงเพียง 60% แต่ก็สร้างปัญหาตามมาอีกมากมาย
“ก่อนพาไปตรวจ เอลวีไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยยกเว้นเสียงต่ำ โลกเงียบงันสำหรับแก” เบ็กกี้ ผู้ช่วยครูวัย 40 ปีจากดาร์บี้เชียร์ อังกฤษ เล่า
“แล้วอยู่ๆ แกก็ถูกรุมเร้าด้วยเสียงต่างๆ ทุกวันเอลวีจะมีปัญหากับเสียง แกร้องไห้และพยายามดึงเครื่องช่วยฟังออก แม้แต่เสียงนกร้องหรือเสียงลมพัดใบไม้ไหวยังทำให้แกเจ็บปวด”
แม้แต่ตอนนอนปัญหาก็ยังตามมารบกวน
“พอเริ่มชินกับอุปกรณ์ช่วยฟังแล้ว แกยังทุกข์พอกันเวลานอนและกลับสู่โลกเงียบสนิท แต่ถ้าใส่อุปกรณ์นอน เสียงหวีดแหลมของมันจะทำให้เราตื่นกันหมด
“ความเงียบทำให้แกฝันร้าย ทุกคืนแกจะตื่นขึ้นกลางดึกและมาขอนอนกับเรา เราทุกคนเหนื่อยล้าและนั่นทำให้เอลวีเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น แกมักดื้อและเรียกร้องความสนใจ และยังมีปัญหาที่โรงเรียน เอลวีเปลี่ยนเพื่อนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เพราะเข้ากับใครนานๆ ไม่ค่อยได้”
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อห้าเดือนที่แล้วที่เอลวีและครอบครัวได้รับการตอบรับจากโครงการนำร่องของมูลนิธิเฮียริ่งด็อกส์ ที่จัดหาสุนัขผู้ช่วยสำหรับผู้ใหญ่ที่หูหนวกและเป็นใบ้มานานเกือบ 30 ปี และต้องการศึกษาว่าเด็กจะได้ประโยชน์จากโครงการนี้เหมือนกับคนโตๆ หรือไม่
แผนการริเริ่มระยะสองปีเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 12 เดือนที่แล้ว โดยมี 6 ครอบครัวสมัครเข้าโครงการจากที่เปิดรับทั้งหมด 12 ครอบครัว ซึ่งต้องเป็นครอบครัวที่มีเด็กหูหนวกและเป็นใบ้อายุระหว่าง 6-11 ปี
ไอเดียของโครงการนี้คือสุนัขที่ได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษจะช่วยเตือนเด็กเมื่อมีเสียงต่างๆ ที่ต้องตอบสนอง เช่น แม่เรียก หรือสัญญาณไฟไหม้ หรือมีรถเฉียดเข้ามาใกล้ เจ้าตูบเหล่านี้ยังนอนข้างๆ เตียงเพื่อรอปลุกเด็กตอนเช้า
เจนนี มัวร์ โฆษกเฮียริ่งด็อก เสริมว่าหมาเหล่านี้ยังมีโบนัสพิเศษมาแจกให้เด็กพิการ
“พ่อแม่หลายคนเล่าว่า ลูกได้ประโยชน์ในแง่ของสภาพจิตใจด้วย เด็กหูหนวกและเป็นใบ้หลายคนนอนหลับไม่ค่อยสนิทเวลาถอดอุปกรณ์ช่วยฟังตอนกลางคืน เพราะรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แต่เด็กในโครงการของเราหลับสบายเพราะรู้สึกปลอดภัยที่มีสุนัขมานอนเป็นเพื่อนด้วย ทำให้เพลียน้อยลงส่งผลให้มีพฤติกรรมดีขึ้น
“ทุกคนในโครงการบอกว่าลูกมั่นใจและมีความสุขมากกว่าแต่ก่อน และนี่ถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง”
เอลวีนั้นเป็นเด็กอายุน้อยที่สุดที่เข้าร่วมโครงการ โดยได้ลาบราดอร์สองขวบชื่อเจมมาเป็นผู้ช่วยฟัง
“เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่เอลวีหลับสนิทถึงเช้าทุกคืน เธอแจ่มใสร่าเริงขึ้น มีเพื่อนที่โรงเรียนมากขึ้นและมีพัฒนาการด้านพฤติกรรม
“สำหรับเราเจมเป็นมากกว่าหมา เพราะเจมเปลี่ยนแปลงชีวิตลูกของเรา”