บ้างก็เยาะว่า “เป็นแค่ตัดปิด และ ตัดแปะ” บ้างก็เย้ยว่า “เป็นแค่บ้องกัญชาที่ขึ้นต้นเหลาด้วยลำไม้ไผ่ ” ล้วนเป็นคำเปรียบเปรยจากปากรัฐบาล ถึงญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านเพื่อไทย ที่ยื่นถึงมือประธานสภาไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้กระทั่งกรรมการสภาที่ปรึกษาหนวดเหล็กอย่าง บัญญัติ บรรทัดฐาน ยังตบท้ายไม่ให้ราคากับญัตติของฝ่ายค้านเลย แค่บอกว่าเป็นเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ หวังแค่ปั่นกระแส
โหมโรงให้สังคมได้มองเห็นว่า เวลานี้รัฐบาลภายใต้แกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ กำลังตกอยู่ในสภาพรับศึกหนักหลายด้าน
สุดท้ายจะต้องจบปัญหาด้วยการยุบสภา ที่คนอย่าง เทพไท เสนพงษ์ หยันว่า
“เป็นฝันที่เป็นไปไม่ได้”
งานนี้ คนของพรรคประชาธิปัตย์ ต่างบอกว่า “ชิว ชิว” ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจ เพราะแต่ละข้อกล่าวหาที่ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาสามารถชี้แจงได้ ไม่มีปัญหา รมต.ที่ถูกจองกฐินต่างยืนยันแข็งขันว่า ชี้แจงได้เคลียร์
การมีชื่อ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ถูกลากมาขึงพืดในสภาครั้งนี้ด้วย ก็เป็นเพียงหวังตีวัวกระทบคราด ไปยังพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องปัญหาเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ฟังแล้วก็ยังยิ้มออก เพราะมั่นใจว่าไม่กระเทือนจนทำให้พรรคเก่าแก่ 60 กว่าปีถึงกับต้องถูกยุบไป
จึงไม่แปลกใจที่แกนนำแต่ละคนยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ตึงเครียดเท่าไหร่ ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกซักฟอกในสภา ขนาด สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตัวคุมเกมในรัฐบาล ยังออกมาขู่ฝ่ายค้านด้วยว่า ...งานนี้ระวังตัวให้ดี จะเจอย้อนศรเข้าให้…!
แถมยังขยิบตาให้วิปรัฐบาลภายใต้การนำของ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ออกมาทุบโต๊ะ ฟันธง ให้ฝ่ายค้านเปิดเวทีศึกซักฟอก 1 นายกรัฐมนตรี บวก 5 รัฐมนตรี ได้ภายในวันที่ 19-20 มี.ค. ยกมือโหวตกันสดๆ 21 มี.ค. อ้างว่าเป็นช่วงเดียวที่รัฐบาลว่างพอที่จะเจียดเวลาให้
เบื้องหลังเป็นเพราะได้ประเมินความหน่อมแน้ม อ่อนเชิงของฝ่ายค้าน ที่ออกอาการลุกลี้ลุกลน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนเตรียมตัวกันไม่พร้อม งานนี้ถือว่าฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ได้แต้มนำไปก่อน เล่นเอาฝ่ายค้านถึงมีอาการ จุกอก แทบกระอักเลือดด้วยความแค้เพราะถูกมัดมือชก จนตั้งหลักกันไม่ติด เพราะแผนเดิมวางไว้แล้วว่า จะเปิดศึกกันในสัปดาห์หน้า จึงยังมีเวลาพอเพียงที่จะให้ขุนพลทั้งหลาย มีเวลาซักซ้อมอภิปรายกันหน้ากระจก เพื่อเรียกความมั่นใจ
แค่โหมโรงยกแรก ก็ให้ชวนติดตามดูต่อไปว่า ศึกนี้จะสนุกดุเด็ดเผ็ดมันส์ขนาดไหน นั่นเป็นอาการแสดงออกในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ดูจะมั่นใจว่ายังสามารถกุมเสียงข้างมาก จำนวน 262 เสียง ในสภาไว้ในอุ้งมือได้ อย่างเหนียวแน่น
เมื่อมองเลยไปถึงจุดไฮไลท์ของเกม คือ ขั้นตอนการยกมือโหวตว่าจะไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจให้ทำงานต่อหรือไม่
นับว่า เป็นเรื่องที่น่าสนใจจับตามองทีเดียว
เพราะเมื่อมาพิเคราะห์ดูจำนวนมือที่อยู่ในสภาในเวลานี้ มีทั้งหมด 465 เสียง หากจะหักลบ 3 มือ ที่จะไม่โหวตให้ใคร คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาอีกสองท่าน ก็จะเหลือจำนวน 462 เสียง ดังนั้นการที่ 5 รัฐมนตรี และนายกฯ จะผ่านศึกนี้ไปได้ จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากพลพรรคจำนวน 234 ขึ้นไป
เมื่อรัฐบาลจำต้องอยู่ภายใต้สภาพของรัฐบาลผสม ที่ประกอบด้วย 6 พรรคการเมืองคือ พรรคประชาธิปัตย์ 170 เสียง พรรคภูมิใจไทย 32 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 25 เสียง พรรคเพื่อแผ่นดิน 21 เสียง พรรครวมใจไทยเพื่อชาติพัฒนา 9 เสียง และพรรคกิจสังคม 5 เสียง โดยจะต้องต่อสู้กับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่มีทั้งหมด 194 เสียง โดยการผนึกกำลังระหว่าง 3 พรรคการเมืองคือ พรรคเพื่อไทย 182 เสียง พรรคประชาราช 9 เสียง และพรรคราษฎร 3 เสียง
กลุ่มคนในพรรคร่วมพวกนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์ถือว่า เป็นเสมือนเพื่อนร่วมรบ ศพร่วมหลุมในสมรภูมิซักฟอกครั้งนี้ หากจะตรวจดูแล้วอย่าง พรรคชาติไทยพัฒนา คงไม่มีแรงกระเพื่อมอะไรเกิดขึ้นมากนัก ทุกการเคลื่อนไหวยังอยู่ภายใต้การควบคุมของ มักกรซ่อนเล็บ บรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย แต่เพียงผู้เดียว
หรือ พรรคกิจสังคม ก็คงสงบนิ่งเช่นกัน ส่วนพรรครวมใจไทยเพื่อชาติพัฒนา ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะงานนี้ รัฐมนตรีของพรรค ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ โดนลากให้เข้าไปร่วมวงขึงพืดกลางสภากับเขาด้วย โทษฐานมีอดีตที่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน และมีข้อมูลว่า เป็นทางผ่านเงิน 258 ล้านบาท ของประชัย เลี่ยวไพรัตน์
แต่ปัญหาใหญ่ที่พรรคประชาธิปัตย์ยังมีความระแวงลึกๆภายในใจ คือ พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ยังมั่วๆกันอยู่ ไม่ชัดเจนว่า ส.ส.ทั้งหมดเทใจมาให้ฝั่งรัฐบาลเต็มร้อยหรือยัง หลังจากที่สร้างประวัติศาสตร์แยกกันเดินทาง ยกมือหนุนนายกรัฐมนตรีคนละฝั่ง ภาพที่ลูกพรรค จำนวน 9 เสียงของเพื่อแผ่นดินยกมือโหวตหนุน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก นั่งนายกรัฐมนตรี ยังติดตาตรึงใจ สุเทพ เทือกสุบรรณ มาถึงทุกวันนี้ แต่ที่น่าจับตาที่สุดหนีไม่พ้น พรรคภูมิใจไทย ที่เวลานี้ดูจะมีความเห็นขัดแย้งอย่างชัดเจนกับพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องการย้ายสนามบินดอนเมืองไปอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่ยังลูกผีลูกคนอยู่ว่าจะออกมาแนวไหน
แรงกระเพื่อมภายในมาจากการเคลื่อนไหวของสมุนมือขวา เนวิน ชิดชอบ แกนนำคนสำคัญกลุ่มเพื่อนเนวิน อย่าง โสภณ ซารัมย์ ที่นั่งบัญชาการกระทรวงคมนาคม ออกมาทุบโต๊ะดังลั่นว่า ยังไงก็ต้องย้ายสนามบินดอนเมือง ภายใน 29 มีนาคมนี้ !
ทำเอา นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยกล้าหาญหักดิบตัดงบของพรรคร่วมรัฐบาลกลางโต๊ะประชุมครม.มาแล้ว ถึงกลับยังต้องออกอาการอ้ำอึ้ง
เพราะต้องเจอเสียงคัดค้านอย่างหนาหู โดยเฉพาะเสียงครหาถึงเบื้องหลังผลประโยชน์อันมหาศาลที่เอื้อโดยตรงให้กับกลุ่มนายทุนใหญ่ อย่าง คิงเพาเวอร์ ที่รับรู้กันทั่วไปว่า เป็นกระสอบเงินรายยักษ์ใหญ่ให้กับกลุ่มเพื่อนเนวินมาตลอดหลายสิบปี
เมื่อการเมืองคือเกมการต่อรอง โอกาสสบช่องให้อย่างนี้ มีหรือที่สันดานของนักการเมืองจะไม่คว้าเอาไว้ จึงเชื่อว่า เกมนี้จะต้องมีการต่อรองเกิดขึ้นระหว่างผลประโยชน์ก้อนโต กับเสียงสนับสนุนในสภาอย่างแน่นอน
แต่อย่าลืมว่า การเมืองจะไม่มีคำว่าแตกหัก ถ้าตราบใดที่ไพ่ในมือของแต่ละฝ่ายยังไม่ถูกเปิดทั้งหมด อีกหลายโปรเจกต์ฆใหญ่ ที่ยังเป็นไพ่ตายในมือพรรคประชาธิปัตย์ ที่หลายคนออกอาการอยากได้จนน้ำลายไหล รอการพยักหน้าของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้น
ดังนั้นการร่นวันเปิดศึกซักฟอกเข้ามาเร็วอีกหนึ่งสัปดาห์ นอกจากจะเป็นการสลับขาหลอก เพื่อไทยที่ยังไม่พร้อมในข้อมูลและตัวคนอภิปรายแล้ว ยังชิงจังหวะเวลาที่พรรคภูมิใจไทย กำลังมีปัญหา ถูกสังคมโจมตีในเรื่องมีผลประโยชน์แอบแฝงการย้ายสนามบินดอนเมือง และอีกหลายโครงการที่รอให้ครม.เคาะ อย่างโครงการเช่ารถเมล์เย็น 4 พันคัน ปชป.จึงอาศัยจังหวะที่เพื่อนกำลังแย่ และหิว เปิดศึกซักฟอกเสียเลย
เพราะมั่นใจได้ว่า ภูมิใจไทยต้องยกมือสนับสนุนรัฐบาล ไม่เป็นงูเห่าแน่ เพื่อแลกกับการอยู่เป็นพรรคร่วมต่อไป และเรื่องต่อรองผลประโยชน์ในวันข้างหน้า
ศึกซักฟอกครั้งนี้ จะเป็นอีกบทหนึ่งที่พิสูจน์ว่า รัฐบาลของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง หรือ หลักการของน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ตามกฎของเกมการเมือง อันไหนจะให้น้ำหนักมากกว่ากัน!
โหมโรงให้สังคมได้มองเห็นว่า เวลานี้รัฐบาลภายใต้แกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ กำลังตกอยู่ในสภาพรับศึกหนักหลายด้าน
สุดท้ายจะต้องจบปัญหาด้วยการยุบสภา ที่คนอย่าง เทพไท เสนพงษ์ หยันว่า
“เป็นฝันที่เป็นไปไม่ได้”
งานนี้ คนของพรรคประชาธิปัตย์ ต่างบอกว่า “ชิว ชิว” ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจ เพราะแต่ละข้อกล่าวหาที่ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาสามารถชี้แจงได้ ไม่มีปัญหา รมต.ที่ถูกจองกฐินต่างยืนยันแข็งขันว่า ชี้แจงได้เคลียร์
การมีชื่อ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ถูกลากมาขึงพืดในสภาครั้งนี้ด้วย ก็เป็นเพียงหวังตีวัวกระทบคราด ไปยังพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องปัญหาเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ฟังแล้วก็ยังยิ้มออก เพราะมั่นใจว่าไม่กระเทือนจนทำให้พรรคเก่าแก่ 60 กว่าปีถึงกับต้องถูกยุบไป
จึงไม่แปลกใจที่แกนนำแต่ละคนยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ตึงเครียดเท่าไหร่ ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกซักฟอกในสภา ขนาด สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตัวคุมเกมในรัฐบาล ยังออกมาขู่ฝ่ายค้านด้วยว่า ...งานนี้ระวังตัวให้ดี จะเจอย้อนศรเข้าให้…!
แถมยังขยิบตาให้วิปรัฐบาลภายใต้การนำของ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ออกมาทุบโต๊ะ ฟันธง ให้ฝ่ายค้านเปิดเวทีศึกซักฟอก 1 นายกรัฐมนตรี บวก 5 รัฐมนตรี ได้ภายในวันที่ 19-20 มี.ค. ยกมือโหวตกันสดๆ 21 มี.ค. อ้างว่าเป็นช่วงเดียวที่รัฐบาลว่างพอที่จะเจียดเวลาให้
เบื้องหลังเป็นเพราะได้ประเมินความหน่อมแน้ม อ่อนเชิงของฝ่ายค้าน ที่ออกอาการลุกลี้ลุกลน ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนเตรียมตัวกันไม่พร้อม งานนี้ถือว่าฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ได้แต้มนำไปก่อน เล่นเอาฝ่ายค้านถึงมีอาการ จุกอก แทบกระอักเลือดด้วยความแค้เพราะถูกมัดมือชก จนตั้งหลักกันไม่ติด เพราะแผนเดิมวางไว้แล้วว่า จะเปิดศึกกันในสัปดาห์หน้า จึงยังมีเวลาพอเพียงที่จะให้ขุนพลทั้งหลาย มีเวลาซักซ้อมอภิปรายกันหน้ากระจก เพื่อเรียกความมั่นใจ
แค่โหมโรงยกแรก ก็ให้ชวนติดตามดูต่อไปว่า ศึกนี้จะสนุกดุเด็ดเผ็ดมันส์ขนาดไหน นั่นเป็นอาการแสดงออกในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ดูจะมั่นใจว่ายังสามารถกุมเสียงข้างมาก จำนวน 262 เสียง ในสภาไว้ในอุ้งมือได้ อย่างเหนียวแน่น
เมื่อมองเลยไปถึงจุดไฮไลท์ของเกม คือ ขั้นตอนการยกมือโหวตว่าจะไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจให้ทำงานต่อหรือไม่
นับว่า เป็นเรื่องที่น่าสนใจจับตามองทีเดียว
เพราะเมื่อมาพิเคราะห์ดูจำนวนมือที่อยู่ในสภาในเวลานี้ มีทั้งหมด 465 เสียง หากจะหักลบ 3 มือ ที่จะไม่โหวตให้ใคร คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาอีกสองท่าน ก็จะเหลือจำนวน 462 เสียง ดังนั้นการที่ 5 รัฐมนตรี และนายกฯ จะผ่านศึกนี้ไปได้ จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากพลพรรคจำนวน 234 ขึ้นไป
เมื่อรัฐบาลจำต้องอยู่ภายใต้สภาพของรัฐบาลผสม ที่ประกอบด้วย 6 พรรคการเมืองคือ พรรคประชาธิปัตย์ 170 เสียง พรรคภูมิใจไทย 32 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 25 เสียง พรรคเพื่อแผ่นดิน 21 เสียง พรรครวมใจไทยเพื่อชาติพัฒนา 9 เสียง และพรรคกิจสังคม 5 เสียง โดยจะต้องต่อสู้กับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่มีทั้งหมด 194 เสียง โดยการผนึกกำลังระหว่าง 3 พรรคการเมืองคือ พรรคเพื่อไทย 182 เสียง พรรคประชาราช 9 เสียง และพรรคราษฎร 3 เสียง
กลุ่มคนในพรรคร่วมพวกนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์ถือว่า เป็นเสมือนเพื่อนร่วมรบ ศพร่วมหลุมในสมรภูมิซักฟอกครั้งนี้ หากจะตรวจดูแล้วอย่าง พรรคชาติไทยพัฒนา คงไม่มีแรงกระเพื่อมอะไรเกิดขึ้นมากนัก ทุกการเคลื่อนไหวยังอยู่ภายใต้การควบคุมของ มักกรซ่อนเล็บ บรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย แต่เพียงผู้เดียว
หรือ พรรคกิจสังคม ก็คงสงบนิ่งเช่นกัน ส่วนพรรครวมใจไทยเพื่อชาติพัฒนา ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะงานนี้ รัฐมนตรีของพรรค ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ โดนลากให้เข้าไปร่วมวงขึงพืดกลางสภากับเขาด้วย โทษฐานมีอดีตที่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน และมีข้อมูลว่า เป็นทางผ่านเงิน 258 ล้านบาท ของประชัย เลี่ยวไพรัตน์
แต่ปัญหาใหญ่ที่พรรคประชาธิปัตย์ยังมีความระแวงลึกๆภายในใจ คือ พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ยังมั่วๆกันอยู่ ไม่ชัดเจนว่า ส.ส.ทั้งหมดเทใจมาให้ฝั่งรัฐบาลเต็มร้อยหรือยัง หลังจากที่สร้างประวัติศาสตร์แยกกันเดินทาง ยกมือหนุนนายกรัฐมนตรีคนละฝั่ง ภาพที่ลูกพรรค จำนวน 9 เสียงของเพื่อแผ่นดินยกมือโหวตหนุน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก นั่งนายกรัฐมนตรี ยังติดตาตรึงใจ สุเทพ เทือกสุบรรณ มาถึงทุกวันนี้ แต่ที่น่าจับตาที่สุดหนีไม่พ้น พรรคภูมิใจไทย ที่เวลานี้ดูจะมีความเห็นขัดแย้งอย่างชัดเจนกับพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องการย้ายสนามบินดอนเมืองไปอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่ยังลูกผีลูกคนอยู่ว่าจะออกมาแนวไหน
แรงกระเพื่อมภายในมาจากการเคลื่อนไหวของสมุนมือขวา เนวิน ชิดชอบ แกนนำคนสำคัญกลุ่มเพื่อนเนวิน อย่าง โสภณ ซารัมย์ ที่นั่งบัญชาการกระทรวงคมนาคม ออกมาทุบโต๊ะดังลั่นว่า ยังไงก็ต้องย้ายสนามบินดอนเมือง ภายใน 29 มีนาคมนี้ !
ทำเอา นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยกล้าหาญหักดิบตัดงบของพรรคร่วมรัฐบาลกลางโต๊ะประชุมครม.มาแล้ว ถึงกลับยังต้องออกอาการอ้ำอึ้ง
เพราะต้องเจอเสียงคัดค้านอย่างหนาหู โดยเฉพาะเสียงครหาถึงเบื้องหลังผลประโยชน์อันมหาศาลที่เอื้อโดยตรงให้กับกลุ่มนายทุนใหญ่ อย่าง คิงเพาเวอร์ ที่รับรู้กันทั่วไปว่า เป็นกระสอบเงินรายยักษ์ใหญ่ให้กับกลุ่มเพื่อนเนวินมาตลอดหลายสิบปี
เมื่อการเมืองคือเกมการต่อรอง โอกาสสบช่องให้อย่างนี้ มีหรือที่สันดานของนักการเมืองจะไม่คว้าเอาไว้ จึงเชื่อว่า เกมนี้จะต้องมีการต่อรองเกิดขึ้นระหว่างผลประโยชน์ก้อนโต กับเสียงสนับสนุนในสภาอย่างแน่นอน
แต่อย่าลืมว่า การเมืองจะไม่มีคำว่าแตกหัก ถ้าตราบใดที่ไพ่ในมือของแต่ละฝ่ายยังไม่ถูกเปิดทั้งหมด อีกหลายโปรเจกต์ฆใหญ่ ที่ยังเป็นไพ่ตายในมือพรรคประชาธิปัตย์ ที่หลายคนออกอาการอยากได้จนน้ำลายไหล รอการพยักหน้าของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้น
ดังนั้นการร่นวันเปิดศึกซักฟอกเข้ามาเร็วอีกหนึ่งสัปดาห์ นอกจากจะเป็นการสลับขาหลอก เพื่อไทยที่ยังไม่พร้อมในข้อมูลและตัวคนอภิปรายแล้ว ยังชิงจังหวะเวลาที่พรรคภูมิใจไทย กำลังมีปัญหา ถูกสังคมโจมตีในเรื่องมีผลประโยชน์แอบแฝงการย้ายสนามบินดอนเมือง และอีกหลายโครงการที่รอให้ครม.เคาะ อย่างโครงการเช่ารถเมล์เย็น 4 พันคัน ปชป.จึงอาศัยจังหวะที่เพื่อนกำลังแย่ และหิว เปิดศึกซักฟอกเสียเลย
เพราะมั่นใจได้ว่า ภูมิใจไทยต้องยกมือสนับสนุนรัฐบาล ไม่เป็นงูเห่าแน่ เพื่อแลกกับการอยู่เป็นพรรคร่วมต่อไป และเรื่องต่อรองผลประโยชน์ในวันข้างหน้า
ศึกซักฟอกครั้งนี้ จะเป็นอีกบทหนึ่งที่พิสูจน์ว่า รัฐบาลของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง หรือ หลักการของน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ตามกฎของเกมการเมือง อันไหนจะให้น้ำหนักมากกว่ากัน!