xs
xsm
sm
md
lg

คุณยายพันธมิตรฯสงขลา หนุนปชช.ทำการเมืองใหม่ให้ลูกหลาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวหาดใหญ่

ความสำเร็จของการปลุกการเมืองภาคประชาชนให้ตื่นตัวทุกหัวระแหง ดั่งไฟลามทุ่ง ได้เกิดขึ้นแล้วในสังคมไทยอย่างที่ไม่มียุคไหนเคยปรากฏมาก่อน ด้วยผู้ที่ร่วมอุดมการณ์สร้างการเมืองใหม่ มิได้มีเพียงเหล่าปัญญาชนที่ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย เหล่านักวิชาการ หรือบุคคลผู้มีหน้าที่การงานใหญ่โตทางสังคมเท่านั้น แต่ยังเพียบด้วยเยาวชนรุ่นจิ๋ว ตลอดจนถึงคนรุ่นเดอะ ทั้งคุณป้า คุณตา คุณยาย หรืออาม่า อากง ที่มีเชื้อสายจีน

“หลายคนมองว่าคนแก่ ไม่มีเรี่ยวแรง แถมยังขี้โรคอย่างนี้ จะไปสู้รบตบมือเพื่อสร้างการเมืองใหม่กับใครไหว แต่สำหรับคนแก่อย่างยายถึงแก่ก็จะสู้ เพราะความเข้มแข็งที่อยู่ในใจมันเป็นเกราะป้องกันให้ร่างกายแข็งแรง” นี่เป็นเสียงแรกที่เราได้ยินจากปากคุณยายพันธมิตรฯ ที่กล่าวด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่รับรู้ได้ถึงการเอาจริงในสิ่งที่พูด

ยายออ หรือ นางละออ บุญเลิศ อายุ 77 ปี พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.สงขลา กล่าวว่า สาเหตุที่กลุ่มคนรุ่นเดอะเหล่านี้ ต้องเสียสละความสุขส่วนตัว ออกมาร่วมขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาชนอีกครั้ง ทั้งที่ควรจะใช้ชีวิตในบั้นปลายพักผ่อน ทดแทนการตรากตรำทำมาหาเลี้ยงครอบครัวมาค่อนชีวิต ก็เพราะทนไม่ได้ ที่สังคมถูกบิดเบือน ป้ายสีที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง

ยิ่งเมื่อเห็นว่า “ระบอบทักษิณ”ได้โกงกินบ้านกินเมืองตลอดระยะเวลาการบริหารประเทศนับแสนๆ ล้านบาทแล้ว ยิ่งหวั่นใจว่าต่อไปประเทศไทยจะไม่มีทรัพยากรและมรดกใดๆ เหลือให้ลูกหลานไทยได้ภาคภูมิใจได้อีก หากสามารถแลกกับความสุขส่วนตัวและชีวิตของคนแก่ที่ผ่านโลกมามากแล้ว ก็ยินดีที่จะทำ และเมื่อได้ลงทุนแรงกายแรงใจไปแล้ว อยากให้การเมืองภาคประชาชนได้ผลิดอกออกผลสู่การเมืองใหม่

ภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความร่วงโรย แต่ยังสามารถถ่ายทอดความทรงจำได้อย่างเด่นชัด ยายออเริ่มเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องราวย้อนเวลาสู่อดีตอีกครั้งว่า ถ้านับการต่อสู้กับพวกขายชาติอย่างจริงจัง เริ่มตั้งแต่ปี 2536 สมัย พล.อ.สุจินดา คราประยูร ที่ตระบัดสัตย์ขอรับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง หลังจากที่ได้ร่วมรัฐประหารกับคณะทหาร และติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาจนถึงทุกวันนี้ มีเหตุการณ์อะไรที่เกี่ยวกับความผิดปกติของประเทศ เห็นใครโกงกินบ้านเมืองรู้สึกทนไม่ได้ อยากออกไปขับไล่ต่อสู้ ถึงตายก็ไม่กลัว

ส่วนการได้มาซึ่งฉายา”คุณยายพันธมิตรฯ “ เกิดจากการเฝ้าติดตามการถ่ายทอด ASTV NEWS1 ที่ลานประวัติศาสตร์ สถานีรถไฟหาดใหญ่ ซึ่งเป็นเครื่องมือของการสื่อสารระหว่างพันธมิตรฯทั่วประเทศ จากการเกาะติดเวทีพันธมิตรฯ สงขลา ขับไล่ระบอบทักษิณตั้งแต่ปี 2548-2549 และปี 2551 นั่นเอง

คุณยายพันธมิตรฯ เล่าว่า เวลากู้ชาติจะเริ่มประมาณหนึ่งทุ่มของทุกวัน ยายจะเดินจากบ้านที่อยู่ไม่ไกลมากนักกับเพื่อนบ้านอีก 2 -3 คน นั่งฟังพันธมิตรฯ จากส่วนกลางหมุนเวียนขึ้นเวทีพูดเรื่องการเมืองเคล้ากลิ่นกาแฟตลอดทั้งคืน ทักทายพบปะกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ และเกือบทุกวันจะต้องควักเงินบริจาคให้แก่พันธมิตรฯ มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังทรัพย์ เสมือนเป็นเป็นครอบครัวที่ยายมีความผูกพันมานาน

จนกระทั่งแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป่านกหวีดรวมตัวหน้าทำเนียบรัฐบาล ยายออก็จัดกระเป๋าทิ้งสุนัขตัวโปรดและบ้านหลังใหญ่ที่อยู่เพียงลำพังไว้ชั่วคราว เพื่อร่วมขบวนม้าเหล็กกู้ชาติสู่เมืองกรุง รวมแล้ว 6 ครั้ง เกินกว่าที่ลูกๆ ทั้ง 4 คน ซึ่งมีครอบครัวอยู่คนละทิศละทางจะต้านทานไหว ซึ่งได้แต่ช่วยเหลือให้ความสะดวกให้ภารกิจครั้งใหญ่สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

“ครั้งแรกยายไปกรุงเทพฯ เพื่อร่วมเป็นหนึ่งในศึกเก้าทัพ ปักหลักนอนกลางดิน กินกลางฝน นั่งทนแดด 23 วันเต็ม ถ้าลูกยายไม่โทร.มาร้องไห้ขอร้องให้กลับก่อน ยายก็คิดว่าจะอยู่ต่ออีกเรื่อยๆ หลังจากนั้นยายก็ไปๆมาๆแต่ก็ยังรู้สึกมีความภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยแล้วได้ช่วยเหลือประเทศ ถึงจะลำบาก อันตราย เสี่ยงต่อชีวิต แต่ไม่มีความกลัว”

ยายออ ยังฉายภาพความประทับใจในความกลมเกลียวของพี่น้องพันธมิตรฯ ด้วยว่า กลางดึกคืนหนึ่งสายฝนได้กระหน่ำลงมาอย่างหนัก จนท่วมเปียกที่นอนที่ปูด้วยพลาสติกหนาผืนใหญ่ ทุกคนต้องมาช่วยกันวิดน้ำออกโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ ทันใดนั้น มีพันธมิตรฯ คนหนึ่งแกล้งถามว่า “ทำอะไรกัน” คำพูดที่ตอบมาคือกำลังหาปลากันอยู่ เรียกเสียงหัวเราะครึกครื้นไปตามๆ กัน ภาพความลำบากที่เกิดขึ้นกลับเป็นเรื่องที่พันธมิตรฯเห็นเป็นเรื่องขำๆ ทุกคนเต็มใจที่จะมาอยู่รวมกันเพื่อการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ เพื่อความหวังเดียวกันคือ “ชัยชนะ”

เหล่านี้ เป็นบางส่วนของหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตผู้หญิงสูงวัยคนนี้ ที่ร่วมต่อสู้กับพันธมิตรฯ นับแสนทั่วประเทศ กว่าจะได้มาซึ่งชัยชนะ จนกลายเป็นความภูมิใจ เช่นเดียวกับพันธมิตรฯ ทั่วประเทศอีกนับล้านคน ที่มีความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นมากมาย และพร้อมที่จะขับขานเล่าสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน เพราะได้ตระหนักถึงความสามัคคีและความเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองนั่นเอง

กำลังโหลดความคิดเห็น