ASTVผู้จัดการรายวัน – FOCUS ตั้งเป้าปี 52 รายได้โต 20-30% จากปี 51 ที่บริษัททำไว้ 706 ล้านบาท เตรียมรุกงานเอกชนและรัฐเพิ่ม ชี้ผลกระทบราคาเหล็กที่ผันผวนรับรู้เกือบหมดในไตรมาส 4/51 ส่วนปี 51 คาดรายได้อยู่ที่ 700 ล้านบาท ผู้บริหารเผยปัจจุบันมีงานในมือมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท รับรู้ถึงสิ้นปีนี้
นายนนทวัฒน์ ทองมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟกัส ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FOCUS เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปี 52 รายได้โต 20-30% ใกล้เคียงจากปี 51 ที่คาดว่าจะมีรายได้ที่ 700 ล้านบาท โดยปีนี้เตรียมจะประมูลงานจากภาคเอกชนเพิ่มเติม ซึ่งจะเน้นไปในกลุ่มอาคารเป็นหลัก พร้อมกับเพิ่มความเข้มงวดในการรับงาน อาทิ ความมั่นคงของบริษัทผู้ว่าจ้าง ฯลฯ เพื่อป้องกันปัญหาสภาพคล่องที่อาจเกิดขึ้นได้ในภาวะเศรษฐกิจหดตัว ขณะที่งานทางภาครัฐทางบริษัทก็เตรียมจะประมูลเพิ่มเช่นเดียวกัน เพราะการรับงานของภาครัฐจะมีความมั่นคงค่อนข้างสูง
สำหรับความผันผวนของต้นทุน โดยเฉพาะราคาเหล็กได้ส่งผลกระทบกับบริษัทอยู่พอสมควร โดยในช่วงดังกล่าวบริษัทได้สต๊อกเหล็กไว้มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท ในช่วงที่ราคาเหล็กอยู่ที่ 40 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นการซื้อเพียงครั้งเดียวภายหลังจากรับงานในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการโรงไฟฟ้า อ.แม่เมาะ จังหวัดลำปาง ที่มีมูลค่ารวม 357 ล้านบาท จึงประเมินว่าผลกระทบดังกล่าวเกือบ 100% จะรับรู้เสร็จสิ้นในไตรมาส 4/51 และอาจมีบางส่วนรับรู้ในไตรมาส 1/52 ซึ่งการจะบันทึกในลักษณะใดนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้สอบบัญชี
ทั้งนี้ แม้ว่าราคาเหล็กปัจจุบันจะปรับลงมาเหลือประมาณ 17 บาทต่อกิโลกรัม แต่บริษัทฯ ก็ไม่ได้รับผลกระทบด้านดีแต่อย่างใด เพราะบริษัทปรับนโยบายไม่มีการสต๊อกเหล็กเหมือนช่วงที่ผ่านมาแล้ว
สำหรับรายได้ปี 51 ของบริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงกับปี 50 ที่มีรายได้ประมาณ 700 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากโครงการก่อสร้างอาคาร Wind Ratchayothin มูลค่า 400 ล้านบาท โครงการโรงไฟฟ้า อ.แม่เมาะ จังหวัดลำปาง มูลค่า 357 ล้านบาท
ขณะที่การรับงานโครงการก่อสร้างศูนย์การค้าเอสพานาด (รัตนาธิเบศร์) มีมูลค่าโครงการ 342.4 ล้านบาท และได้เซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 52 นั้นจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/52 โดยจะรับรู้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะรับรู้ค่อนข้างมากในช่วงไตรมาส 2-3 ปีนี้
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (black log ) อยู่ประมาณ 500 กว่าล้านบาท โดยเป็นการรับรู้จากโครงการหลัก ๆ คือ การก่อสร้างเอสพานาด (รัตนาธิเบศร์) การก่อสร้างโรงไฟฟ้า อ. แม่เมาะ และงานก่อสร้างอาคาร Wind Ratchayothin โดยส่วนนี้จะรับรู้รายได้เฉลี่ยไตรมาสละ 125 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 52
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจะย่ำแย่ แต่บริษัทยังไม่มีแนวคิดที่จะปรับลดพนักงานที่อยู่แต่อย่างใด เพราะมองว่าพนักงานที่มีอยู่นั้นไม่มากและส่วนใหญ่เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งปีนี้เตรียมจะรับพนักงานวิศวกรเพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอกับการขยายงานในอนาคต
สำหรับงวดสิ้นปี51 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 6.40 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 70.70 ล้านบาทหรือขาดทุน 17.10 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุน 159.81% เนื่องจากบริษัทฯ มีต้นทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กำไรขั้นต้นของบางโครงการลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถ ในการทำกำไรของบริษัทโดยรวม ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของปี 51 ลดลง 3.64% ขณะที่มีรายได้รวม 706.36 ล้านบาท
นายนนทวัฒน์ ทองมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟกัส ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FOCUS เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปี 52 รายได้โต 20-30% ใกล้เคียงจากปี 51 ที่คาดว่าจะมีรายได้ที่ 700 ล้านบาท โดยปีนี้เตรียมจะประมูลงานจากภาคเอกชนเพิ่มเติม ซึ่งจะเน้นไปในกลุ่มอาคารเป็นหลัก พร้อมกับเพิ่มความเข้มงวดในการรับงาน อาทิ ความมั่นคงของบริษัทผู้ว่าจ้าง ฯลฯ เพื่อป้องกันปัญหาสภาพคล่องที่อาจเกิดขึ้นได้ในภาวะเศรษฐกิจหดตัว ขณะที่งานทางภาครัฐทางบริษัทก็เตรียมจะประมูลเพิ่มเช่นเดียวกัน เพราะการรับงานของภาครัฐจะมีความมั่นคงค่อนข้างสูง
สำหรับความผันผวนของต้นทุน โดยเฉพาะราคาเหล็กได้ส่งผลกระทบกับบริษัทอยู่พอสมควร โดยในช่วงดังกล่าวบริษัทได้สต๊อกเหล็กไว้มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท ในช่วงที่ราคาเหล็กอยู่ที่ 40 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นการซื้อเพียงครั้งเดียวภายหลังจากรับงานในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการโรงไฟฟ้า อ.แม่เมาะ จังหวัดลำปาง ที่มีมูลค่ารวม 357 ล้านบาท จึงประเมินว่าผลกระทบดังกล่าวเกือบ 100% จะรับรู้เสร็จสิ้นในไตรมาส 4/51 และอาจมีบางส่วนรับรู้ในไตรมาส 1/52 ซึ่งการจะบันทึกในลักษณะใดนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้สอบบัญชี
ทั้งนี้ แม้ว่าราคาเหล็กปัจจุบันจะปรับลงมาเหลือประมาณ 17 บาทต่อกิโลกรัม แต่บริษัทฯ ก็ไม่ได้รับผลกระทบด้านดีแต่อย่างใด เพราะบริษัทปรับนโยบายไม่มีการสต๊อกเหล็กเหมือนช่วงที่ผ่านมาแล้ว
สำหรับรายได้ปี 51 ของบริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงกับปี 50 ที่มีรายได้ประมาณ 700 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากโครงการก่อสร้างอาคาร Wind Ratchayothin มูลค่า 400 ล้านบาท โครงการโรงไฟฟ้า อ.แม่เมาะ จังหวัดลำปาง มูลค่า 357 ล้านบาท
ขณะที่การรับงานโครงการก่อสร้างศูนย์การค้าเอสพานาด (รัตนาธิเบศร์) มีมูลค่าโครงการ 342.4 ล้านบาท และได้เซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 52 นั้นจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/52 โดยจะรับรู้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะรับรู้ค่อนข้างมากในช่วงไตรมาส 2-3 ปีนี้
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (black log ) อยู่ประมาณ 500 กว่าล้านบาท โดยเป็นการรับรู้จากโครงการหลัก ๆ คือ การก่อสร้างเอสพานาด (รัตนาธิเบศร์) การก่อสร้างโรงไฟฟ้า อ. แม่เมาะ และงานก่อสร้างอาคาร Wind Ratchayothin โดยส่วนนี้จะรับรู้รายได้เฉลี่ยไตรมาสละ 125 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 52
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจะย่ำแย่ แต่บริษัทยังไม่มีแนวคิดที่จะปรับลดพนักงานที่อยู่แต่อย่างใด เพราะมองว่าพนักงานที่มีอยู่นั้นไม่มากและส่วนใหญ่เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งปีนี้เตรียมจะรับพนักงานวิศวกรเพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอกับการขยายงานในอนาคต
สำหรับงวดสิ้นปี51 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 6.40 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 70.70 ล้านบาทหรือขาดทุน 17.10 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุน 159.81% เนื่องจากบริษัทฯ มีต้นทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กำไรขั้นต้นของบางโครงการลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถ ในการทำกำไรของบริษัทโดยรวม ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของปี 51 ลดลง 3.64% ขณะที่มีรายได้รวม 706.36 ล้านบาท