เธอะริกลี่ย์ โดดร่วมวงกลุ่มลูกอมรีเฟรชเมนท์ ส่งดับเบิ้ลมินต์ มินต์ ชิงแชร์ตลาดกว่า 1,000 ล้านบาทปีนี้ เผยตลาดรวมโตหลักเดียวเหตุเศรษฐกิจไม่ดี
นางสุปรีย์ ปวริศร์พงษ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เธอะริกลี่ย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดลูกอมในเมืองไทยมีการแข่งขันสูงเพราะมีผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเฉพาะการเล่นเรื่องราคาของตลาดระดับกลางลงล่าง และเศรษฐกิจที่ไม่ดีด้วย ส่งผลให้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดรวมเติบโตเพียง 7-8% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 6,500 ล้านบาท
โดยกลุ่มที่มีสัดส่วนตลาดมากที่สุดคือ 1กลุ่มรีเฟรชเมนท์ หรือกลุ่มสดชื่น ประมาณ 40% 2.กลุ่มฟัน (FUN) ที่เป็นลูกอมผลไม้ สัดส่วน 40% แต่เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตดีที่สุด 3.กลุ่มแก้ไอ สัดส่วน 10% และ 4.กลุ่มกัมมี่ เจลลี่ มีสัดส่วน 5-10%
อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของตลาดลูกอมในเมืองไทยยังมีแนวโน้มที่ดี เพราะเป็นสินค้าที่ราคาไม่สูง อีกทั้งเป็นลูกอมที่ทานเล่นได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในตลาดระดับบน พบว่ายังมีช่องว่างอีกมาก บริษัทฯจึงตัดสินใจเข้าสู่ตลาดลูกอมแบบแข็ง ด้วยการส่ง “ดับเบิ้ลมินต์ ” ลูกอมมินต์ปราศจากน้ำตาล ลงตลาดประเทศไทย มี 2 รสชาติ คือ เปปเปอร์มินต์ และวินเทอร์ฟรอส จับกลุ่มทำงานระดับบน ก่อนหน้านี้ได้ทำตลาดในประเทศอื่นๆมาแล้ว
แผนการตลาดบริษัทฯจะใช้งบ 60 ล้านบาท เลือกใช้สื่อทีวี ออกหนังโฆษณาชุดใหม่ โดย “อนันดา เอฟเวอร์ริ่งแฮม เป็นพรีเซ็นเตอร์ ผ่านรูปแบบหนังรักโรแมนติค โดยแสดงถึงคุณสมบัติของเม็ดอม โดยคาดหวังที่จะสร้างเซ็กเม้นท์ใหม่ขึ้นมาคือ กลุ่มเพรสมินท์ ลูกอมที่อัดเม็ด ให้ความสดชื่น ทำให้ขณะนี้สินค้าของดับเบิ้ลมินต์ในไทยมี 2 กลุ่มคือ หมากฝรั่งและกลุ่มเม็ดอมมินต์ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาด โดยในส่วนของกลุ่มหมากฝรั่งดับเบิ้ลมินต์ ปีนี้บริษัทฯยังรักษาแชร์เป็นอันดับที่สอง
ปัจจุบันตลาดนี้คาดว่าจะมีประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งหลังจากที่ดับเบิ้ลมินต์เข้าตลาดแล้วคาดว่าจะช่วยผลักดันให้ตลาดรวมไปอยู่ที่ 1,000 ล้านบาทได้ ซึ่งผู้นำตลาดขณะนี้คือ ฟิชเชอร์แมนเฟรนด์ส่วนแบ่ง 38% อันดับสองคือ คลอเร็ท ส่วนแบ่ง 20% และบริษัทฯคาดหวังจะเป็นอันดับที่สามคือมีแชร์ 15% ขณะที่อันดับที่สี่คือ สมิ้นต์ มีแชร์ 10%
ทั้งนี้หลังจากเข้าสู่ตลาดลูกอมแบบแข็งในปีนี้ คาดว่ารายได้รวมทั้งปีจะเป็น 1,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น ซูกัส 400 กว่าล้านบาท เติบโต 10% กลุ่มหมากฝรั่งรายได้ 400 กว่าล้านบาท เติบโต 10% และดับเบิ้ลมินต์ 150 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ราว 800 ล้านบาท แบ่งเป็น ซูกัสและหมากฝรั่งเท่ากัน อย่างละ 400 ล้านบาท
นางสุปรีย์ ปวริศร์พงษ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เธอะริกลี่ย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดลูกอมในเมืองไทยมีการแข่งขันสูงเพราะมีผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเฉพาะการเล่นเรื่องราคาของตลาดระดับกลางลงล่าง และเศรษฐกิจที่ไม่ดีด้วย ส่งผลให้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดรวมเติบโตเพียง 7-8% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 6,500 ล้านบาท
โดยกลุ่มที่มีสัดส่วนตลาดมากที่สุดคือ 1กลุ่มรีเฟรชเมนท์ หรือกลุ่มสดชื่น ประมาณ 40% 2.กลุ่มฟัน (FUN) ที่เป็นลูกอมผลไม้ สัดส่วน 40% แต่เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตดีที่สุด 3.กลุ่มแก้ไอ สัดส่วน 10% และ 4.กลุ่มกัมมี่ เจลลี่ มีสัดส่วน 5-10%
อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของตลาดลูกอมในเมืองไทยยังมีแนวโน้มที่ดี เพราะเป็นสินค้าที่ราคาไม่สูง อีกทั้งเป็นลูกอมที่ทานเล่นได้ง่ายๆ โดยเฉพาะในตลาดระดับบน พบว่ายังมีช่องว่างอีกมาก บริษัทฯจึงตัดสินใจเข้าสู่ตลาดลูกอมแบบแข็ง ด้วยการส่ง “ดับเบิ้ลมินต์ ” ลูกอมมินต์ปราศจากน้ำตาล ลงตลาดประเทศไทย มี 2 รสชาติ คือ เปปเปอร์มินต์ และวินเทอร์ฟรอส จับกลุ่มทำงานระดับบน ก่อนหน้านี้ได้ทำตลาดในประเทศอื่นๆมาแล้ว
แผนการตลาดบริษัทฯจะใช้งบ 60 ล้านบาท เลือกใช้สื่อทีวี ออกหนังโฆษณาชุดใหม่ โดย “อนันดา เอฟเวอร์ริ่งแฮม เป็นพรีเซ็นเตอร์ ผ่านรูปแบบหนังรักโรแมนติค โดยแสดงถึงคุณสมบัติของเม็ดอม โดยคาดหวังที่จะสร้างเซ็กเม้นท์ใหม่ขึ้นมาคือ กลุ่มเพรสมินท์ ลูกอมที่อัดเม็ด ให้ความสดชื่น ทำให้ขณะนี้สินค้าของดับเบิ้ลมินต์ในไทยมี 2 กลุ่มคือ หมากฝรั่งและกลุ่มเม็ดอมมินต์ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาด โดยในส่วนของกลุ่มหมากฝรั่งดับเบิ้ลมินต์ ปีนี้บริษัทฯยังรักษาแชร์เป็นอันดับที่สอง
ปัจจุบันตลาดนี้คาดว่าจะมีประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งหลังจากที่ดับเบิ้ลมินต์เข้าตลาดแล้วคาดว่าจะช่วยผลักดันให้ตลาดรวมไปอยู่ที่ 1,000 ล้านบาทได้ ซึ่งผู้นำตลาดขณะนี้คือ ฟิชเชอร์แมนเฟรนด์ส่วนแบ่ง 38% อันดับสองคือ คลอเร็ท ส่วนแบ่ง 20% และบริษัทฯคาดหวังจะเป็นอันดับที่สามคือมีแชร์ 15% ขณะที่อันดับที่สี่คือ สมิ้นต์ มีแชร์ 10%
ทั้งนี้หลังจากเข้าสู่ตลาดลูกอมแบบแข็งในปีนี้ คาดว่ารายได้รวมทั้งปีจะเป็น 1,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น ซูกัส 400 กว่าล้านบาท เติบโต 10% กลุ่มหมากฝรั่งรายได้ 400 กว่าล้านบาท เติบโต 10% และดับเบิ้ลมินต์ 150 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ราว 800 ล้านบาท แบ่งเป็น ซูกัสและหมากฝรั่งเท่ากัน อย่างละ 400 ล้านบาท
