สถาบันอัญมณีฯ วาง 4 กลยุทธ์หลักผลักดันไทย สู่ฮับอัญมณีและเครื่องประดับโลก พร้อมมองหาตลาดใหม่ๆในการส่งออก เผยมกราคมปีนี้ยอดส่งออกลดลง 30%
นางวิลาวัณย์ อติชาติ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันฯวางกลยุทธ์ไว้ 4 ประการเพื่อดำเนินการให้ถึงเป้าหมายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของโลก
อีกทั้งวางแผนที่จะสนับสนุนผู้ผลิต ผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศไทยให้สามารถแข่งขันและส่งออกไปยังตลาดเก่า เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป เป็นต้น รวมทั้งการแสวงหาตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพและผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย บาเรน ยูเครน รัสเซีย ประเทศในแถบยุโรปตะวันออก ประเทศรอบๆ อ่าวเปอร์เซีย เช่น ดูไบ ซาอุดิอาราเบีย เป็นต้น
สำหรับกลยุทธ์ดังกล่าวคือ 1. การลงทุนระยะยาวสร้างศูนย์วิเคราะห์อัญมณีพร้อมเทคโนโลยีและบุคคลากร ล้ำหน้าไปแล้วกว่า 60 ล้านบาท ซึ่งจะทุ่มงบอีก 20 ล้านบาท ในการจัดหาเครื่องมือตรวจเพิ่มเติม 2.การพัฒนาคุณภาพบุคลากร ซึ่งได้จัดทำหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆทั้ง ด้านอัญมณีศาสตร์ ธุรกิจอัญมณี การตลาด การออกแบบ ที่เป็นของสถาบันเองและยังมีโครงการที่จะร่วมมือกับสถาบันต่างๆอีกด้วย
3.การเป็นผู้นำในการจัดงานระดับโลกซึ่งยังไม่มีประเทศใดในซีกโลกตะวันออกได้จัดมาก่อน เช่น การประชุมวิชาการนานาชาติด้านอัญมณีและเครื่องประดับ จีไอที 2008 ซึ่งปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 9-10 มีนาคม คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 400 คน 4. การวางแผนในเชิงรุกสำหรับตลาดต่างประเทศ ด้วยความร่วมมือกับองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อเป็นการสร้างพลังร่วมทางการตลาด เป็นต้น
นางวิลาวัณย์ กล่าวว่า ทางสถาบันฯคาดการณ์ว่าด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวนี้จะทำให้ปีนี้ประเทศไทยจะสามารถทำยอดการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับให้เติบโตขึ้น 5 – 10% จากปีที่แล้วที่มียอดการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับประมาณ 2.7 แสนล้านบาท เติบโตจากปี 2550 ประมาณ 48%
อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกอัญมณีของประเทศไทยในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค. 2551 เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น
**********
นางวิลาวัณย์ อติชาติ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า สถาบันฯวางกลยุทธ์ไว้ 4 ประการเพื่อดำเนินการให้ถึงเป้าหมายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของโลก
อีกทั้งวางแผนที่จะสนับสนุนผู้ผลิต ผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศไทยให้สามารถแข่งขันและส่งออกไปยังตลาดเก่า เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป เป็นต้น รวมทั้งการแสวงหาตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพและผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย บาเรน ยูเครน รัสเซีย ประเทศในแถบยุโรปตะวันออก ประเทศรอบๆ อ่าวเปอร์เซีย เช่น ดูไบ ซาอุดิอาราเบีย เป็นต้น
สำหรับกลยุทธ์ดังกล่าวคือ 1. การลงทุนระยะยาวสร้างศูนย์วิเคราะห์อัญมณีพร้อมเทคโนโลยีและบุคคลากร ล้ำหน้าไปแล้วกว่า 60 ล้านบาท ซึ่งจะทุ่มงบอีก 20 ล้านบาท ในการจัดหาเครื่องมือตรวจเพิ่มเติม 2.การพัฒนาคุณภาพบุคลากร ซึ่งได้จัดทำหลักสูตรฝึกอบรมต่างๆทั้ง ด้านอัญมณีศาสตร์ ธุรกิจอัญมณี การตลาด การออกแบบ ที่เป็นของสถาบันเองและยังมีโครงการที่จะร่วมมือกับสถาบันต่างๆอีกด้วย
3.การเป็นผู้นำในการจัดงานระดับโลกซึ่งยังไม่มีประเทศใดในซีกโลกตะวันออกได้จัดมาก่อน เช่น การประชุมวิชาการนานาชาติด้านอัญมณีและเครื่องประดับ จีไอที 2008 ซึ่งปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 9-10 มีนาคม คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 400 คน 4. การวางแผนในเชิงรุกสำหรับตลาดต่างประเทศ ด้วยความร่วมมือกับองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อเป็นการสร้างพลังร่วมทางการตลาด เป็นต้น
นางวิลาวัณย์ กล่าวว่า ทางสถาบันฯคาดการณ์ว่าด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวนี้จะทำให้ปีนี้ประเทศไทยจะสามารถทำยอดการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับให้เติบโตขึ้น 5 – 10% จากปีที่แล้วที่มียอดการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับประมาณ 2.7 แสนล้านบาท เติบโตจากปี 2550 ประมาณ 48%
อย่างไรก็ตาม ยอดส่งออกอัญมณีของประเทศไทยในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค. 2551 เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น
**********
