นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ว่า การชุมนุมของพี่น้องประชาชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่เห็นด้วยหรือมีจุดยืนของการคัดค้านรัฐบาล แต่ก็ขอโอกาสนี้ขอบคุณทั้งผู้ชุมนุม และทางเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือทหาร ที่มาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย จนการชุมนุมผ่านพ้นไปโดยไม่ได้มีเหตุการณ์ รุนแรง ไม่ได้มีความสูญเสีย ขณะเดียวกันรัฐบาลก็สามารถทำงานได้ตามปกติ ตนก็เข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งที่สุด ก็สลายการชุมนุมไป และทำให้เราจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ในบรรยากาศที่สงบ ก็จะมีส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศชาติ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่มีอยู่ 4 ข้อนั้นรัฐบาล ไม่ได้เพิกเฉย ในเรื่องคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือความขัดแย้งทางการเมือง ก็เดินหน้าไปอย่างต่อเนื่องตรงไปตรงมา
ผมขอย้ำอีกครั้งว่าเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง ตรงไปตรงมา ไม่มีใคร อยู่เหนือกฎหมาย ขณะเดียวกันรัฐบาลโดยเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ไปกลั่นแกล้ง ใคร ผมเชื่อว่าอีก 1 เดือนจากนี้ไปก่อนที่กลุ่มเสื้อแดงจะมีการนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง จะได้เห็นความคืบหน้าของหลายคดีความทีเดียว
สำหรับข้อเรียกร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น รัฐบาลขอให้ทางสถาบันพระปกเกล้าเข้ามาเป็นตัวกลาง ในเรื่องนี้ ก็ทราบว่าขณะนี้กรรมการสภาสถาบันฯ จะประชุมกันวันที่ 6 มีนาคม ถ้าจำไม่ผิด เพื่อพิจารณาเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นความคืบหน้าอีกด้านหนึ่ง ซึ่งคิดว่าจะทำให้เป้าหมายของการ ปฏิรูปการเมืองสามารถที่จะเดินไปได้อีกก้าวหนึ่ง อีกขั้นหนึ่ง
ส่วนข้อเรียกร้องให้ปลดนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศและให้ยุบสภา คืออำนาจให้ประชาชนนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่เกี่ยวข้องกับตนหรือเกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีในคณะ ในกระบวนการของรัฐสภา ฝ่ายค้านก็ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประมาณกลางเดือน มี.ค. และจะการอภิปรายได้ประมาณปลายเดือน มี.ค.ก็เท่ากับว่าเราจะได้ใช้กระบวนการของรัฐสภา ในข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย เพราะว่าการอภิปรายทางฝ่ายค้าน ก็พูดถึง นายกษิต พูดถึงการยื่นถอดถอนตน ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ส่วนข้อยุติจะเป็นอย่างไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกระบวนการของรัฐสภา
ผมคิดว่าถ้าเรารักษาบรรยากาศของบ้านเมือง ให้กระบวนการทางการเมือง ทำงานได้อย่างนี้ รัฐสภาก็ทำหน้าที่ไป ประชาชนก็ใช้สิทธิเคลื่อนไหวภายใต้รัฐธรรมนูญอยู่ในกรอบของกฎหมาย ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ถือเป็นส่วนหนึ่ง ของการเป็นสังคมประชาธิปไตย และรัฐบาลก็พร้อมที่จะรับการตรวจสอบ
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกตำรวจออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา ยืนยันว่าจะยังไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหาจนกว่าจะมีการเปลี่ยนตัวทีมสอบสวนที่มี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 4 เนื่องจากทั้ง 3 คนมีส่วนได้เสียกับคดี ทั้งยังเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงวันที่ 7 ตุลาคม ที่หน้ารัฐสภาด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะเรียกร้องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และรัฐบาล ให้เปลี่ยนตัว เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม นายสุริยะใสระบุด้วยว่า ภายใน 2-3 วันนี้จะมีการหารือร่วมกับแกนนำและทีมทนายความว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่มีอยู่ 4 ข้อนั้นรัฐบาล ไม่ได้เพิกเฉย ในเรื่องคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือความขัดแย้งทางการเมือง ก็เดินหน้าไปอย่างต่อเนื่องตรงไปตรงมา
ผมขอย้ำอีกครั้งว่าเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง ตรงไปตรงมา ไม่มีใคร อยู่เหนือกฎหมาย ขณะเดียวกันรัฐบาลโดยเจ้าหน้าที่ก็จะไม่ไปกลั่นแกล้ง ใคร ผมเชื่อว่าอีก 1 เดือนจากนี้ไปก่อนที่กลุ่มเสื้อแดงจะมีการนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง จะได้เห็นความคืบหน้าของหลายคดีความทีเดียว
สำหรับข้อเรียกร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น รัฐบาลขอให้ทางสถาบันพระปกเกล้าเข้ามาเป็นตัวกลาง ในเรื่องนี้ ก็ทราบว่าขณะนี้กรรมการสภาสถาบันฯ จะประชุมกันวันที่ 6 มีนาคม ถ้าจำไม่ผิด เพื่อพิจารณาเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นความคืบหน้าอีกด้านหนึ่ง ซึ่งคิดว่าจะทำให้เป้าหมายของการ ปฏิรูปการเมืองสามารถที่จะเดินไปได้อีกก้าวหนึ่ง อีกขั้นหนึ่ง
ส่วนข้อเรียกร้องให้ปลดนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศและให้ยุบสภา คืออำนาจให้ประชาชนนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่เกี่ยวข้องกับตนหรือเกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีในคณะ ในกระบวนการของรัฐสภา ฝ่ายค้านก็ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประมาณกลางเดือน มี.ค. และจะการอภิปรายได้ประมาณปลายเดือน มี.ค.ก็เท่ากับว่าเราจะได้ใช้กระบวนการของรัฐสภา ในข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย เพราะว่าการอภิปรายทางฝ่ายค้าน ก็พูดถึง นายกษิต พูดถึงการยื่นถอดถอนตน ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ส่วนข้อยุติจะเป็นอย่างไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกระบวนการของรัฐสภา
ผมคิดว่าถ้าเรารักษาบรรยากาศของบ้านเมือง ให้กระบวนการทางการเมือง ทำงานได้อย่างนี้ รัฐสภาก็ทำหน้าที่ไป ประชาชนก็ใช้สิทธิเคลื่อนไหวภายใต้รัฐธรรมนูญอยู่ในกรอบของกฎหมาย ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ถือเป็นส่วนหนึ่ง ของการเป็นสังคมประชาธิปไตย และรัฐบาลก็พร้อมที่จะรับการตรวจสอบ
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกตำรวจออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา ยืนยันว่าจะยังไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหาจนกว่าจะมีการเปลี่ยนตัวทีมสอบสวนที่มี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 4 เนื่องจากทั้ง 3 คนมีส่วนได้เสียกับคดี ทั้งยังเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงวันที่ 7 ตุลาคม ที่หน้ารัฐสภาด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะเรียกร้องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และรัฐบาล ให้เปลี่ยนตัว เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม นายสุริยะใสระบุด้วยว่า ภายใน 2-3 วันนี้จะมีการหารือร่วมกับแกนนำและทีมทนายความว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
