xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ”ตั้งกองทุนผุดวิทยุชุมชน-ติดASTVเหนือตอนล่าง "สมเกียรติ"ลั่นบุกเชียงรายหลังจับตัวการฆ่า"ชิปปิ้งหมู"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บนเวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 3 พิษณุโลก โดยประกาศเดินหน้าตั้งกองทุนวิทยุชุมชน-ติดตั้งจาน ASTV
พิษณุโลก– “สนธิ”ประกาศชัด กลางเวทีเมืองสองแคว “การเมืองใหม่คือเทียนแห่งธรรม” เดินหน้าตั้งกองทุนวิทยุชุมชน-ติดจาน ASTV 9 จังหวัดเหนือล่าง ปลดแอกแผ่นดิน 9 จังหวัดเป็นอิสระจากเสื้อแดง-ระบอบแม้ว แนวพม่า “สมเกียรติ”ย้ำบุกเชียงราย-เชียงใหม่แน่นอน เมื่อมีคนถูกจับคดี “ชิปปิ้งหมู”

เวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 3 (ภาคเหนือตอนล่าง) ณ สนามกีฬากลาง (สนาม2) จ.พิษณุโลก คืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 ได้รับความสนใจจากเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จากทั่วประเทศเดินทางเข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน ซึ่งบนเวทีนอกจากจะมีการแสดงดนตรีคู่เวทีพันธมิตรฯ หลากหลายวงแล้ว 5 แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 1 ต่างเดินทางมาขึ้นเวทีปราศรัยครบครัน

ทั้งนี้ ก่อนที่เวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 3 จะเริ่มต้น ตั้งแต่ช่วงเช้ากลุ่มรักษ์ประชาธิปไตยพิษณุโลก (รปส) พร้อมด้วยกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 และกลุ่มเสื้อแดงในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ ได้จัดขบวนแห่ไปรอบตัวเมืองพิษณุโลกเพื่อต่อต้านการจัดเวที ในระหว่างการแห่ขบวนมาถึงถนนสนามบิน ใกล้กับมหาวิทยาลัยนเรศวร (ส่วนในเมือง) ได้มีชาวบ้านเป็นชายวัยกลางคนออกมาดูขบวน พร้อมกับแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง โดยกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 20 คน นำโดยกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 แสดงความไม่พอใจโดยข่มขู่ชายคนดังกล่าวและกล่าวว่าเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนจะรุมทำร้ายร่างกาย โดยใช้ไม้ที่ใช้เป็นธงเข้าทำร้าย โดยกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าห้ามชายคนดังกล่าว ก็ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง จากนั้นได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ สภ.เมืองพิษณุโลก

นอกจากนั้นในช่วงเย็น กลุ่มเสื้อแดงประมาณ 70-100 คน ได้ปักหลักที่ข้างสถานีรถไฟ เพื่อดักรอไม่ให้เครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจากจังหวัดต่าง ๆ ในภาคกลาง ที่เดินทางมากับขบวนรถไฟกรุงเทพฯ-พิษณุโลก เข้าร่วมงานได้ แต่สุดท้ายคณะของพันธมิตรฯก็เดินทางเข้าร่วมเวทีคอนเสิร์ตการเมืองปลอดภัยทุกคน

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยบนเวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 3 ว่า วันนี้พันธมิตรฯ ได้มาปักธงที่ภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งถ้ามองย้อนไปหลายร้อยปี การมาปักธงที่นี่เหมือนที่สมเด็จพระนเรศวรทรงหลั่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อประกาศอิสรภาพจากพม่า การเปิดเวทีฯของพันธมิตรฯ ก็เป็นการประกาศว่า พิษณุโลก ไม่เป็นเมืองขึ้นของเสื้อแดง เป็นพม่า พวกเราทั้งที่อยู่หน้าเวทีและทั่วประเทศ เป็นทหารเสือของพระองค์ดำ

“วันนี้ ภาคเหนือตอนล่าง 9 จังหวัด ได้ประกาศตัวเป็นอิสระจากระบอบทักษิณแล้ว เราไม่อยู่ภายใต้การปกครองแนวพม่าอีกต่อไป”

นายสนธิ ได้ประกาศกลางเวทีว่าเขาอยากจะท้าให้คนเสื้อแดงจัดเวทีอย่างพันธมิตรฯ ให้คนเสียเงินซื้อบัตรมาฟังการปราศรัย ให้ได้ ไม่ใช่จัดแบบเอาเงินไปแจก เดือนหนึ่งเงินมาครั้งหนึ่ง อย่างพวกรักเชียงใหม่ 51 ที่มาอาละวาดที่พิษณุโลกตอนนี้ ต่อไปหากพวกเราเจอที่ไหนให้จัดการเลยทันที

ทั้งนี้การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยาวนาน และการชุมนุม 193 วัน ได้ทำให้ทุกคนตระหนักและทำเพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ สิ่งเหล่านี้อยู่ในใจพันธมิตรฯ ทุกคน ก่อให้เกิดพลังศักดิ์สิทธิ์ ที่จะนำพาประเทศไปสู่สิ่งที่ดีงาม เป็นการชุมนุม และการต่อสู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ต้องต่อสู้ต่อไปเพื่อลูกหลาน ผดุงความดีงาม สร้างสังคมโปร่งใส รักษาสถาบันทุกสถาบันให้มีเสถียรภาพต่อไป

นายสนธิ ย้ำว่า พันธมิตรฯ จะทำการเมืองใหม่ให้เป็นจริง ซึ่งการเมืองใหม่ก็คือเทียนแห่งธรรม เป็นการต่อสู้ที่เอาธรรมนำหน้า เช่นเดียวกับพระองค์ดำ ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ศึกษาธรรม เป็นศิษย์พระมหาเถรคันฉ่อง ดังนั้นพันธมิตรฯ จะต่อสู้โดยใช้ความถูกต้องนำหน้า ใช้แสงแห่งธรรมต่อสู้ต่อไป เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีงามแก่สังคม ประเทศชาติ และสถาบันทุกสถาบันต่อไป

“ผมขอย้ำว่า การเมืองใหม่คือ เทียนแห่งธรรมเท่านั้น เพราะเราเอาธรรมนำหน้า เราต่อสู้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 48 จนได้รับชัยชนะ”

นายสนธิ กล่าวอีกว่า จากนี้ไปเราจะตั้งกองทุนวิทยุชุมชน-จาน ASTV 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่างขึ้นมา โดยเบื้องต้นจะนำเงินบริจาคที่ได้ในขณะนี้ หักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือเท่าไหร่ ก็จะมีคนที่พร้อมบริจาคสมทบให้อีก 1 เท่าตัวตั้งเป็นกองทุนขึ้นมา เพื่อไปติดตั้งวิทยุชุมชนตามจังหวัด-อำเภอต่างๆ ที่ขอเข้ามา รวมทั้งซื้อจานดาวเทียม ASTV ไปติดตั้งให้ เพื่อเผยแพร่ความรู้-เผยแพร่แนวทางการเมืองใหม่ให้แก่ประชาชนต่อไป เป็นการจุดเทียนแห่งปัญหาให้กับประชาชน

เช่นเดียวกับนายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 1 ที่เดินทางมาขึ้นเวทีครั้งนี้เช่นกัน โดยนายพิภพ ย้ำต่อหน้าผู้ร่วมงานเรือนหมื่นว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้ามาครองอำนาจอยู่ในขณะนี้ เป็นเพราะได้อานิสงส์จากพันธมิตรฯ เรายอมรับว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นคนดี เป็นนักการเมืองน้ำดี ได้รับการศึกษาดี ไม่มีเรื่องมัวหมอง แต่รัฐบาลขณะนี้ก็ไม่ใช่คำตอบของการเมืองใหม่ แต่ด้วยสถานการณ์ใขณะนี้ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน – ประเทศไทยก็กำลังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจ เราจึงให้เวลารัฐบาลก่อน โดยไม่ออกมาเคลื่อนไหวกดดัน

นายอภิสิทธิ์ ก็ต้องพิสูจน์ตนเองด้วยการตัดสินใจดำเนินการในเรื่องสำคัญ ๆ คือ การยกระดับประชานิยม ให้เป็นสวัสดิการของสังคมอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประชานิยมแบบหลอกลวงประชาชน เหมือน “ทักษิณ ชินวัตร” หรือรัฐบาลเก่าของไทยรักไทย พลังประชาชน เคยทำมา เพราะมีอย่างที่ไหนรัฐบาลเอาเงินไปแจกประชาชน แล้วประชาชนกลับจนลง ขณะที่ “ทักษิณ” รวยขึ้นมหาศาล

นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ จะต้องตัดสินใจทำการเมืองใหม่ให้เป็นจริง ต้องปฏิรูปการเมือง ที่ทำให้ประชาชนมีอำนาจมากขึ้นกว่าที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 40 และ 50 ซึ่งถ้าจะให้ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น ก็ต้องขจัดการเมืองเก่าให้หมดสิ้นไป

อีกประเด็นที่จะพิสูจน์นายอภิสิทธิ์ ก็คือ การปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริง และต้องให้องค์กรที่เป็นกลางเข้ามาทำ ต้องไม่ให้กระทรวงศึกษา ฯ ที่มีกลไกปกป้องตัวเองซ่อนอยู่ทำ เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันการเมือง รู้ทันการคอร์รัปชันรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งต้องบอกว่า ปัญหาการคอร์รัปชันนั้น ในยุคของพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล มีการคอร์รัปชันมากที่สุด

“การปฏิรูปการศึกษา ต้องทำให้คนที่ผ่านการศึกษาระดับอนุบาล จนถึง ม.6 เป็นนักการเมืองภาคประชาชนให้ได้ ซึ่งเยอรมนีทำสำเร็จมาแล้ว”

นอกจากนี้ นายกฯอภิสิทธิ์ ต้องตัดสินใจนำนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง ให้เป็นทางเลือกของสังคมไทย ควบคู่ไปกับระบบทุนนิยมที่สะอาดจริง ๆ ไม่ใช่ทุนนิยมสามานย์เหมือนยุค “ทักษิณ” พร้อมกับปฏิรูปตำรวจ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างแท้จริงในสังคมขึ้นมาให้ได้

“ประเด็นเหล่านี้ถือเป็นโจทย์สำหรับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่จะพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งพันธมิตรฯ จะให้เวลาอีก 3 เดือน หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ เราก็พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหวกดดันทันที”

ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า งานของพันธมิตรฯ สำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง คือการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 และขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดออกไป แต่การต่อสู้ทางการเมืองยังไม่จบ การจัดคอนเสิร์ตการเมืองร่วมกันบ่อยๆ ถือเป็นการดีที่จะได้มาพบปะกันและร่วมกันต่อสู้ต่อไป

ส่วนการออกหมายเรียก 21 พันธมิตรฯ ไปรับทราบข้อกล่าวหาปิดล้อมรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่ไม่มีชื่อตนนั้น เพราะตนยังอยู่ในคุก หลังจากที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในวันที่ 5 ตุลาคม และถูกจับกุมด้วยข้อหากบฏที่ตำรวจตั้งไว้ก่อนหน้านี้ แต่ตนไม่หนี ไม่ยื่นประกันตัวเพราะเห็นว่าเป็นข้อหาที่เลื่อนลอย และเราจะต่อสู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต่อไป

พล.ต.จำลอง กล่าวต่ออีกว่า ในยุคนี้ทหารโดนทำร้ายมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาโดยที่ผู้บังคับบัญชาไม่ได้สนใจ โดยเฉพาะกรณีทหารถูกทำร้ายระหว่างไปสังเกตการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงหน้าทำเนียบรัฐบาล รู้สึกสงสารทหารคนนี้ ที่ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง แต่ผู้บังคับบัญชาปล่อยให้โดนทำร้ายได้อย่างไร ถ้าตนเป็นผู้บังคับบัญชาจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อย่างแน่นอน ซึ่งตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน

ขณะที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำรุ่น 1 ที่เดินทางมาขึ้นเวทีในช่วงดึกของคืนเดียวกัน กล่าวว่า ที่ผ่านมาพันธมิตรฯ ต่อสู้มาอย่างยากลำบาก จนได้รับชัยชนะ มาถึงวันนี้ไม่ใช่การต่อสู้จะสิ้นสุด เพราะกลุ่มเสื้อแดงเปลี่ยนรูปแบบซ่อนตัวใหม่ ซึ่งเราก็ต้องพยายามกันต่อไป เนื่องจากปัจจุบันวิกฤตของชาติยังคงอยู่ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่มืดมน การเมืองยังไร้ทางออก ระบอบทักษิณ ยังคงอยู่ในนามของกลุ่มเสื้อแดง

“เราต้องร่วมกันสู้ต่อไป รุกคืบไปทุกพื้นที่หลัก ๆ โดยเฉพาะเชียงใหม่ เชียงราย พันธมิตรฯจะขึ้นไปเปิดเวทีอย่างแน่นอนในเดือนพฤษภาคม 2552 กรณีของเชียงราย เราจะขึ้นไปทันทีหลังจากมีบุคคลสำคัญของที่นั่นถูกจับในคดีฆ่าชิปปิ้งหมู ซึ่งเราเชื่อมั่นว่า คดีนี้จะจับฆาตกรได้อย่างแน่นอน”นายสมเกียรติกล่าว

เวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่  3 แม้กว่าจะเริ่มเวทีมีกลุ่มเสื้อแดงสร้างความวุ่นวายเป็นระยะๆ แต่พี่น้องพันธมิตรฯทั่วประเทศ ไม่หวั่นเข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน





กำลังโหลดความคิดเห็น