ผู้เชี่ยวชาญเตือนการที่สามี-ภรรยาพยายามไม่แว้ดใส่กัน ไม่ได้หมายความว่าชีวิตสมรสมั่นคง แต่อาจกลายเป็นเพชฌฆาตเงียบทำลายชีวิตคู่ จากการที่ต่างฝ่ายต่างถอยห่างจากกัน
เดวิด โค้ด ผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัวแนะนำว่า สามีภรรยาควรระบายความไม่พอใจออกมาให้หมด และโฟกัสการตอบสนองของตัวเองต่อการมีปากเสียง แทนการเลี่ยงไปทำอย่างอื่น เช่น ทำงานจนดึกจนดื่นจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ากัน ดูทีวี หรือขลุกอยู่กับลูก เพราะถึงการกระทำเหล่านี้ไม่มีพิษมีภัย แต่อาจทำให้เกิดความห่างเหินและช่องว่างระหว่างสามี-ภรรยาที่หากปล่อยไว้นานๆ ช่องว่างนั้นจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีวันถมเต็ม
โค้ดยกตัวอย่างคู่แต่งงานที่เคยชวนกันมาขอคำแนะนำ โดยสมมติชื่อให้ว่าคุณและคุณนายสมิธ
ฝ่ายชายนั้นแอบไปมีบ้านเล็ก ฝ่ายหญิงรับไม่ได้และเสียใจมาก ดูภายนอกคล้ายเป็นเหยื่อผู้อาภัพ
แน่นอนว่าการนอกใจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่สาเหตุเบื้องหลังมักมีรูปแบบเดียวกัน
กรณีของครอบครัวสมิธ หลังแต่งงานไม่นาน ทั้งคู่ต้องแปลกใจที่ต่างฝ่ายต่างเครียดและไม่พอใจในกันและกัน แรกๆ ก็พยายามหันหน้าคุยกัน แต่พอนานไปวิธีนี้ทำท่าว่าจะไม่ได้ผล พวกเขาจึงหมดความอดทนและทะเลาะกันบ่อยขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย และนักจิตวิทยากระแสหลักมักสอนว่าการโต้เถียงและความโกรธเป็นสิ่งที่สามารถทำลายชีวิตแต่งงานได้
ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวสมิธจึงตัดสินใจโดยที่อาจไม่รู้ตัวว่าจะสงบศึกและหลีกเลี่ยงประเด็นที่ยั่วน้ำโห พวกเขาคุยกันน้อยลง เปิดเผยความคิด ความรู้สึกและความฝันที่แท้จริงน้อยลง เมื่อต่างฝ่ายต่างรักษาระยะห่างจากกัน ฝ่ายสามีจึงเติมเต็มช่องว่างโดยหันไปทุ่มเทกับงาน ส่วนฝ่ายภรรยาดูแลเอาใจใส่ลูกมากขึ้น
ทุกอย่างดูเหมือนราบรื่น เพราะคุณสมิธประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และคุณนายสมิธพอใจกับการได้ใกล้ชิดลูก แต่ผ่านไปหลายปีเข้า รูปแบบความสัมพันธ์นี้ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นปัญหา แน่นอนว่างานไม่ได้ตอบสนองความต้องการด้านความสัมพันธ์ของคุณสมิธได้ ดังนั้น เขาจึงเผลอไผลไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่น
การนอกใจของคุณสมิธเป็นอาการของรูปแบบความสัมพันธ์ที่ห่างเหินเนิ่นนานแรมปี อย่างไรก็ตาม ตอนที่สองสามีภรรยาขอคำปรึกษาจากโค้ด ทั้งคู่พุ่งประเด็นไปที่การมีกิ๊กของฝ่ายชายซึ่งทั้งสองคนเชื่อว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา แต่ไม่มีใครนึกถึงประเด็นความห่างเหินเลย
ในความเป็นจริงทั้งหญิงชายต่างมีบทบาทสำคัญเท่าเทียมกันที่นำไปสู่ปัญหาในชีวิตคู่ แต่ข่าวดีคือเมื่อเข้าใจเรื่องความห่างเหินแล้ว ย่อมหาทางป้องกันปัญหาในอนาคตได้ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่จะยืนยงคงอยู่ชั่วชีวิต โดยโค้ดแนะนำวิธีการกิน เดิน และคุยที่จะทำให้ชีวิตแต่งงานและครอบครัวมีความสุขยิ่งขึ้น
กิน - สมาชิกครอบครัวทุกคนควรแบ่งปันสิ่งดีๆ และเรื่องไม่สบอารมณ์ในรอบวันที่ผ่านมาให้กันฟัง แทนที่จะบอกว่า ‘ฉันชอบตอนเดินจากสถานีรถไฟไปออฟฟิศ’ ลองพยายามโฟกัสบางชั่วขณะของเวลานั้น เช่น ‘ฉันกำลังเดินไปทำงานตอนที่เห็นใบไม้ทุกใบของต้นโอ๊กต้นหนึ่งถูกแต่งแต้มสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ฉันรู้สึกว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีในการมีชีวิตอยู่จริงๆ!’
ส่วนการเล่าเรื่องราวที่ไม่น่าอภิรมย์จะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาถ้าได้รับคำปลอบใจจากอีกฝ่าย ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ แต่แทนที่จะบ่นว่า ‘วันนี้บัดซบจริงๆ’ ลองพยายามนึกถึงจังหวะที่คิดว่าแย่ที่สุด เช่น ‘ตอนยืมโปรเจ็กเตอร์มานำเสนองาน พนักงานต้อนรับที่บริษัทขู่ฟอดใส่ผมว่าจะเอาไปใช้นานแค่ไหน ทำอย่างกับว่าผมชอบเม้มของงั้นแหละ น่าโมโหนัก’
เดินคุยกัน – ของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิตแต่งงานยุคใหม่คือวอล์กกี้-ทอล์กกี้ที่มีสวิตช์สั่งงานด้วยเสียง เพราะสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ติดตามความเคลื่อนไหวของลูกน้อยได้ หลังจากลูกหลับแล้ว ให้ตั้งเจ้าอุปกรณ์นี้ใกล้ๆ เปล และชวนกันออกไปเดินเล่นในสนามหญ้าหน้าบ้าน เพราะถ้าลูกตื่น คุณก็สามารถวิ่งไปถึงในเวลาไม่เกิน 20 วินาที
ทุกคืน สามี-ภรรยาสามารถเพลิดเพลินกับการเดินยืดเส้นยืดสายได้สักครึ่งชั่วโมง ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ และบอกเล่าความคิด ความรู้สึกและความฝัน
แน่นอนว่าการพยายามหลบหน้ากันจะรู้สึกสบายใจกว่าในระยะสั้น แต่ระยะยาวการเผชิญหน้าและรับฟังความคิดเห็นของกันและกันย่อมดีกว่า การสร้างมิตรภาพที่สามารถพึ่งพิงกันได้ระหว่างสามีภรรยาทำให้ไม่ต้องไปใช้วิธีฆ่าเวลาอยู่กับลูก ทั้งยังทำให้ลูกเรียนรู้การพึ่งตัวเอง และทั้งหมดนี้คือคำแนะนำสำหรับชีวิตแต่งงานที่จะราบรื่นเป็นสุขแสนนาน
เดวิด โค้ด ผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัวแนะนำว่า สามีภรรยาควรระบายความไม่พอใจออกมาให้หมด และโฟกัสการตอบสนองของตัวเองต่อการมีปากเสียง แทนการเลี่ยงไปทำอย่างอื่น เช่น ทำงานจนดึกจนดื่นจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ากัน ดูทีวี หรือขลุกอยู่กับลูก เพราะถึงการกระทำเหล่านี้ไม่มีพิษมีภัย แต่อาจทำให้เกิดความห่างเหินและช่องว่างระหว่างสามี-ภรรยาที่หากปล่อยไว้นานๆ ช่องว่างนั้นจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีวันถมเต็ม
โค้ดยกตัวอย่างคู่แต่งงานที่เคยชวนกันมาขอคำแนะนำ โดยสมมติชื่อให้ว่าคุณและคุณนายสมิธ
ฝ่ายชายนั้นแอบไปมีบ้านเล็ก ฝ่ายหญิงรับไม่ได้และเสียใจมาก ดูภายนอกคล้ายเป็นเหยื่อผู้อาภัพ
แน่นอนว่าการนอกใจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่สาเหตุเบื้องหลังมักมีรูปแบบเดียวกัน
กรณีของครอบครัวสมิธ หลังแต่งงานไม่นาน ทั้งคู่ต้องแปลกใจที่ต่างฝ่ายต่างเครียดและไม่พอใจในกันและกัน แรกๆ ก็พยายามหันหน้าคุยกัน แต่พอนานไปวิธีนี้ทำท่าว่าจะไม่ได้ผล พวกเขาจึงหมดความอดทนและทะเลาะกันบ่อยขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย และนักจิตวิทยากระแสหลักมักสอนว่าการโต้เถียงและความโกรธเป็นสิ่งที่สามารถทำลายชีวิตแต่งงานได้
ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวสมิธจึงตัดสินใจโดยที่อาจไม่รู้ตัวว่าจะสงบศึกและหลีกเลี่ยงประเด็นที่ยั่วน้ำโห พวกเขาคุยกันน้อยลง เปิดเผยความคิด ความรู้สึกและความฝันที่แท้จริงน้อยลง เมื่อต่างฝ่ายต่างรักษาระยะห่างจากกัน ฝ่ายสามีจึงเติมเต็มช่องว่างโดยหันไปทุ่มเทกับงาน ส่วนฝ่ายภรรยาดูแลเอาใจใส่ลูกมากขึ้น
ทุกอย่างดูเหมือนราบรื่น เพราะคุณสมิธประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และคุณนายสมิธพอใจกับการได้ใกล้ชิดลูก แต่ผ่านไปหลายปีเข้า รูปแบบความสัมพันธ์นี้ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นปัญหา แน่นอนว่างานไม่ได้ตอบสนองความต้องการด้านความสัมพันธ์ของคุณสมิธได้ ดังนั้น เขาจึงเผลอไผลไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่น
การนอกใจของคุณสมิธเป็นอาการของรูปแบบความสัมพันธ์ที่ห่างเหินเนิ่นนานแรมปี อย่างไรก็ตาม ตอนที่สองสามีภรรยาขอคำปรึกษาจากโค้ด ทั้งคู่พุ่งประเด็นไปที่การมีกิ๊กของฝ่ายชายซึ่งทั้งสองคนเชื่อว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา แต่ไม่มีใครนึกถึงประเด็นความห่างเหินเลย
ในความเป็นจริงทั้งหญิงชายต่างมีบทบาทสำคัญเท่าเทียมกันที่นำไปสู่ปัญหาในชีวิตคู่ แต่ข่าวดีคือเมื่อเข้าใจเรื่องความห่างเหินแล้ว ย่อมหาทางป้องกันปัญหาในอนาคตได้ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่จะยืนยงคงอยู่ชั่วชีวิต โดยโค้ดแนะนำวิธีการกิน เดิน และคุยที่จะทำให้ชีวิตแต่งงานและครอบครัวมีความสุขยิ่งขึ้น
กิน - สมาชิกครอบครัวทุกคนควรแบ่งปันสิ่งดีๆ และเรื่องไม่สบอารมณ์ในรอบวันที่ผ่านมาให้กันฟัง แทนที่จะบอกว่า ‘ฉันชอบตอนเดินจากสถานีรถไฟไปออฟฟิศ’ ลองพยายามโฟกัสบางชั่วขณะของเวลานั้น เช่น ‘ฉันกำลังเดินไปทำงานตอนที่เห็นใบไม้ทุกใบของต้นโอ๊กต้นหนึ่งถูกแต่งแต้มสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ฉันรู้สึกว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีในการมีชีวิตอยู่จริงๆ!’
ส่วนการเล่าเรื่องราวที่ไม่น่าอภิรมย์จะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาถ้าได้รับคำปลอบใจจากอีกฝ่าย ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ แต่แทนที่จะบ่นว่า ‘วันนี้บัดซบจริงๆ’ ลองพยายามนึกถึงจังหวะที่คิดว่าแย่ที่สุด เช่น ‘ตอนยืมโปรเจ็กเตอร์มานำเสนองาน พนักงานต้อนรับที่บริษัทขู่ฟอดใส่ผมว่าจะเอาไปใช้นานแค่ไหน ทำอย่างกับว่าผมชอบเม้มของงั้นแหละ น่าโมโหนัก’
เดินคุยกัน – ของขวัญที่มีค่าที่สุดในชีวิตแต่งงานยุคใหม่คือวอล์กกี้-ทอล์กกี้ที่มีสวิตช์สั่งงานด้วยเสียง เพราะสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ติดตามความเคลื่อนไหวของลูกน้อยได้ หลังจากลูกหลับแล้ว ให้ตั้งเจ้าอุปกรณ์นี้ใกล้ๆ เปล และชวนกันออกไปเดินเล่นในสนามหญ้าหน้าบ้าน เพราะถ้าลูกตื่น คุณก็สามารถวิ่งไปถึงในเวลาไม่เกิน 20 วินาที
ทุกคืน สามี-ภรรยาสามารถเพลิดเพลินกับการเดินยืดเส้นยืดสายได้สักครึ่งชั่วโมง ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ และบอกเล่าความคิด ความรู้สึกและความฝัน
แน่นอนว่าการพยายามหลบหน้ากันจะรู้สึกสบายใจกว่าในระยะสั้น แต่ระยะยาวการเผชิญหน้าและรับฟังความคิดเห็นของกันและกันย่อมดีกว่า การสร้างมิตรภาพที่สามารถพึ่งพิงกันได้ระหว่างสามีภรรยาทำให้ไม่ต้องไปใช้วิธีฆ่าเวลาอยู่กับลูก ทั้งยังทำให้ลูกเรียนรู้การพึ่งตัวเอง และทั้งหมดนี้คือคำแนะนำสำหรับชีวิตแต่งงานที่จะราบรื่นเป็นสุขแสนนาน