ASTVผู้จัดการรายวัน – “หุ้นทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า”มาแรงจนฉุดไม่อยู่ กระแสคว้าพันธมิตรใหม่ช่วยล่อใจรายย่อยเข้ารุมทึ้งไม่เลิก ดีดราคาหุ้นทั้งแม่และลูกโตกระฉูด 25 – 29% จาก 8 บาทขึ้นมาแตะ 12.80 บาท แม้ภาวะตลาดผันผวน “กลุ่มชินธรรมมิตร์”ลั่นถือหุ้นยาว ไม่มีการปล่อยแน่ ส่วนผู้บริหารใหญ่ยังปฏิเสธ ขณะที่ภาวะโดยรวมต่างประเทศยังซบเซารอความชัดเจน ส่วนในประเทศเจอแก๊งป่วนเมือง ฉุดคนไม่กล้าลงทุน โบรกฯประสานเสียงเหยียบเบรก
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24ก.พ.) ปิดตลาดที่ระดับ 431.32 จุด ลดลง 3.67 จุด หรือ -0.84% มูลค่าการซื้อขาย 6,867 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาจากสถานการณ์ในต่างประเทศ ซึ่งดัชนีดาวโจนส์ติดลบ 200 จุดเมื่อวันที่ 23ก.พ. และการชุมนุมประท้วงของกลุ่มนปช.วานนี้ (24ก.พ.) จึงทำให้นักลงทุนไม่กล้าลงทุนซื้อหุ้นมากนัก อย่างไรก็ตามกลับพบว่าหุ้นของบริษัท ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า จำกัด (มหาชน) หรือ SST และ SST-W1 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก จนสามารถขึ้นติดอันดับ1 ใน 10 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดวานนี้ได้
โดยหุ้น SST วานนี้ปิดที่ 12.80 บาท เพิ่มขึ้น 2.90บาท หรือ29.29% ซึ่งเมื่อเปิดตลาดในช่วงเช้าราคาอยู่ที่ 10.20 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า(23ก.พ.) ซึ่งอยู่ที่ 9.90บาท และระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 12.80บาท ต่ำสุด 9.95 บาท มูลค่าการซื้อ 270.10 ล้านบาท
ขณะที่ SST-W1 ปิดตลาด 4.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.88 บาทหรือ 25.33% โดยเมื่อเปิดตลาดราคาอยู่ที่3.60 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาปิดเมื่อวันที่23ก.พ.ซึ่งอยู่ที่ 3.42 บาท และระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 5.50 บาท ต่ำสุด 3.46 บาท มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 556.337 ล้านบาท
ทั้งนี้การปรับตัวเพิ่มของราคาหลักทรัพย์ SST และSST-W1เริ่มมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. ซึ่ง SST มีราคาอยู่ที่ 8.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 5.26% มูลค่าซื้อขาย 20.94 ล้านบาท และวันที่ 23 ก.พ ราคาหุ้นปิดที่ 9.90 บาท เพิ่มขึ้น 1.90 บาท หรือ 23.75% มูลค่าซื้อขาย 113.91 ล้านบาท
ส่วนSST-W1 เมื่อวันที่ 20ก.พ.มีราคาอยู่ที่ 2.66 บาท เพิ่มขึ้น 0.26 บาท หรือ 10.83% มูลค่าการซื้อขาย 687,800 บาท และวันที่ 23ก.พ.มีราคา 3.42 บาทเพิ่มขึ้น 0.76 บาทหรือ 28.57% มูลค่าการซื้อขาย 140.956 ล้านบาท ซึ่งจะพบว่าราคาของหลักทรัพย์ทั้งสองมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอด 3 วันที่ผ่านมา
ลือสะพัดได้พันธมิตรรายใหม่
นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยว่า การที่ราคาหุ้นของบมจ. ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 วัน นั้นคาดว่าจะเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตอบรับข่าวที่บริษัทมีกำไรสุทธิปี 2551 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 45.10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.72 ล้านบาท คิดเป็น 48.45% จากปี 2550 ที่มีกำไรสุทธิ 30.38 ล้านบาท
ส่วนในเรื่องข่าวลือในด้านการที่จะมีผู้เข้ามาซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น ส่วนตัวไม่สามารถตอบได้จากไม่ทราบเรื่อง แต่จากการที่ราคาหุ้นของSST มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงนั้น นักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุน จากจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมา โดยบริษัทประเมินแนวต้านที่ระดับ 13 บาท แนวรับที่ระดับ 11 บาท
ด้าน แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ รายหนึ่งให้เหตุผลถึงเรื่องนี้ว่า กรณีที่ราคาหุ้น และใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 1 (SST-W1) ของบมจ. ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า ปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลมาจากนักลงทุนพยายามเข้าซื้อเก็งกำไร การซื้อกิจการ หลังมีข่าวลือออกมาว่า SST เตรียมเจรจากับพันธมิตรในธุรกิจคลังสินค้าเพื่อขยายธุรกิจร่วมกัน ภายหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้แจ้งว่านายศุภสิทธิ์ สุขะนินทร์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท และในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้มีการเทขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นออกมาจำนวน 6.22 ล้านหน่วยในราคา 2.35 บาท
โดยในเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวได้มีการสอบถามไปที่ นายศุภสิทธิ์ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธที่จะตอบคำถามในเรื่องนี้ สำหรับ รายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับแรกของ SST ล่าสุด ประกอบด้วย นายศุภสิทธิ์ สุขะนินทร์ ถือหุ้น 25.4%, นางอินทิรา สุขะนินทร์ ถือหุ้น 12.03%, น.ส.ดวงแข ชินธรรมมิตร์ ถือหุ้น 5.64%, น.ส.ดวงดาว ชินธรรมมิตร์ ถือหุ้น 5.64% และน.ส.นฤมล แจ่มกระจ่าง ถือหุ้น 4.99%
กลุ่มชินธรรมมิตร์ลั่นถือหุ้นยาว
ด้าน นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) KSL และในฐานะผู้ถือหุ้น SST กล่าวว่า ที่ผ่านมา SST มีการเพิ่มหุ้นโดยการออกวอร์แรนต์ เพื่อนำเงินมาลงทุนในธุรกิจคลังสินค้าของบริษัท ซึ่งส่วนตัวเป็นผู้ร่วมถือหุ้นด้วยเท่านั้น และแผนธุรกิจก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการบริษัทจัดการ จึงไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า ทางกลุ่มชินธรรมมิตร์ จะไม่มีการขายทิ้งหุ้น SST ออกไปแน่นอน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ทำมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ดังนั้นข่าวลือการปรับโครงสร้างใหม่จะไม่ได้จากกลุ่มของตนเองแน่
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง นายกมล เอี้ยวศิวิกูล หนึ่งในผู้ถือหุ้น ซึ่งได้รับการยืนยันว่า ปัจจุบันตนเองมีหุ้นในSST เพียง 100 หุ้นตามสิทธิ์ของกรรมการบริษัทเท่านั้น และไม่ทราบสาเหตุถึงการปรับราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นSST จะพบว่ากลุ่ม ชินธรรมมิตร์ ถือหุ้นรวมกันประมาณ 23.40% ขณะที่กลุ่มสุขะนินทร์ ถือหุ้นรวมกันประมาณ 40.04% ส่วนนายกมล แม้จะไม่ได้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท แต่พบว่า นางสาวจิตวดี เอี้ยวศิวิกูล เข้าถือหุ้นอยู่จำนวน 4.56%
โบรกฯแนะชะลอลงทุน
สำหรับภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาหลักทรัพย์ฯ วานนี้ ปรับตัวลงเล็กน้อย สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและตลาดหุ้นในต่างประเทศที่ปิดในแดนลบ เพราะนักลงทุนต่างวิตกกังวลว่าจะเหตุการณ์จะยืดเยื้อจึงกลายเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นไทยออกมา แต่ภาพรวมพบว่านักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิมากสุด โดยขายสุทธิ 216.51 ล้านบาท และ 181.52 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนทั่วไปมีการซื้อสุทธิ 398.02 ล้านบาท
สำหรันแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ น่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนควรจับตาการปิดล้อมทำเนียนรัฐบาลของกลุ่ม นปช. ดัชนีดาวโจนส์ และราคาน้ำมันโลก จึงแนะนำให้ควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ ซึ่งประเมินแนวรับอยู่ที่ 424-426 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 434-436 จุด
ด้าน นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า จากการชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลของกลุ่ม นปช.ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนด้วยความวิตกกังวลต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่าจะรุนแรงและกินระยะเวลานาน ขณะที่ปัจจัยในต่างๆ ประเทศไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรพิเศษ เนื่องจากอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัว จึงแนะนำให้ควรชะลอการลงทุนและถือเงินสดไว้ในมือ โดยมีแนวรับที่ 424 จุด และแนวต้านที่ 440 จุด
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24ก.พ.) ปิดตลาดที่ระดับ 431.32 จุด ลดลง 3.67 จุด หรือ -0.84% มูลค่าการซื้อขาย 6,867 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาจากสถานการณ์ในต่างประเทศ ซึ่งดัชนีดาวโจนส์ติดลบ 200 จุดเมื่อวันที่ 23ก.พ. และการชุมนุมประท้วงของกลุ่มนปช.วานนี้ (24ก.พ.) จึงทำให้นักลงทุนไม่กล้าลงทุนซื้อหุ้นมากนัก อย่างไรก็ตามกลับพบว่าหุ้นของบริษัท ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า จำกัด (มหาชน) หรือ SST และ SST-W1 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก จนสามารถขึ้นติดอันดับ1 ใน 10 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดวานนี้ได้
โดยหุ้น SST วานนี้ปิดที่ 12.80 บาท เพิ่มขึ้น 2.90บาท หรือ29.29% ซึ่งเมื่อเปิดตลาดในช่วงเช้าราคาอยู่ที่ 10.20 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า(23ก.พ.) ซึ่งอยู่ที่ 9.90บาท และระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 12.80บาท ต่ำสุด 9.95 บาท มูลค่าการซื้อ 270.10 ล้านบาท
ขณะที่ SST-W1 ปิดตลาด 4.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.88 บาทหรือ 25.33% โดยเมื่อเปิดตลาดราคาอยู่ที่3.60 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาปิดเมื่อวันที่23ก.พ.ซึ่งอยู่ที่ 3.42 บาท และระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 5.50 บาท ต่ำสุด 3.46 บาท มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 556.337 ล้านบาท
ทั้งนี้การปรับตัวเพิ่มของราคาหลักทรัพย์ SST และSST-W1เริ่มมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. ซึ่ง SST มีราคาอยู่ที่ 8.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 5.26% มูลค่าซื้อขาย 20.94 ล้านบาท และวันที่ 23 ก.พ ราคาหุ้นปิดที่ 9.90 บาท เพิ่มขึ้น 1.90 บาท หรือ 23.75% มูลค่าซื้อขาย 113.91 ล้านบาท
ส่วนSST-W1 เมื่อวันที่ 20ก.พ.มีราคาอยู่ที่ 2.66 บาท เพิ่มขึ้น 0.26 บาท หรือ 10.83% มูลค่าการซื้อขาย 687,800 บาท และวันที่ 23ก.พ.มีราคา 3.42 บาทเพิ่มขึ้น 0.76 บาทหรือ 28.57% มูลค่าการซื้อขาย 140.956 ล้านบาท ซึ่งจะพบว่าราคาของหลักทรัพย์ทั้งสองมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอด 3 วันที่ผ่านมา
ลือสะพัดได้พันธมิตรรายใหม่
นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยว่า การที่ราคาหุ้นของบมจ. ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 วัน นั้นคาดว่าจะเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตอบรับข่าวที่บริษัทมีกำไรสุทธิปี 2551 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 45.10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.72 ล้านบาท คิดเป็น 48.45% จากปี 2550 ที่มีกำไรสุทธิ 30.38 ล้านบาท
ส่วนในเรื่องข่าวลือในด้านการที่จะมีผู้เข้ามาซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น ส่วนตัวไม่สามารถตอบได้จากไม่ทราบเรื่อง แต่จากการที่ราคาหุ้นของSST มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงนั้น นักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุน จากจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมา โดยบริษัทประเมินแนวต้านที่ระดับ 13 บาท แนวรับที่ระดับ 11 บาท
ด้าน แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ รายหนึ่งให้เหตุผลถึงเรื่องนี้ว่า กรณีที่ราคาหุ้น และใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 1 (SST-W1) ของบมจ. ทรัพย์ศรีไทยคลังสินค้า ปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลมาจากนักลงทุนพยายามเข้าซื้อเก็งกำไร การซื้อกิจการ หลังมีข่าวลือออกมาว่า SST เตรียมเจรจากับพันธมิตรในธุรกิจคลังสินค้าเพื่อขยายธุรกิจร่วมกัน ภายหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้แจ้งว่านายศุภสิทธิ์ สุขะนินทร์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท และในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้มีการเทขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นออกมาจำนวน 6.22 ล้านหน่วยในราคา 2.35 บาท
โดยในเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวได้มีการสอบถามไปที่ นายศุภสิทธิ์ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธที่จะตอบคำถามในเรื่องนี้ สำหรับ รายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับแรกของ SST ล่าสุด ประกอบด้วย นายศุภสิทธิ์ สุขะนินทร์ ถือหุ้น 25.4%, นางอินทิรา สุขะนินทร์ ถือหุ้น 12.03%, น.ส.ดวงแข ชินธรรมมิตร์ ถือหุ้น 5.64%, น.ส.ดวงดาว ชินธรรมมิตร์ ถือหุ้น 5.64% และน.ส.นฤมล แจ่มกระจ่าง ถือหุ้น 4.99%
กลุ่มชินธรรมมิตร์ลั่นถือหุ้นยาว
ด้าน นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) KSL และในฐานะผู้ถือหุ้น SST กล่าวว่า ที่ผ่านมา SST มีการเพิ่มหุ้นโดยการออกวอร์แรนต์ เพื่อนำเงินมาลงทุนในธุรกิจคลังสินค้าของบริษัท ซึ่งส่วนตัวเป็นผู้ร่วมถือหุ้นด้วยเท่านั้น และแผนธุรกิจก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการบริษัทจัดการ จึงไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า ทางกลุ่มชินธรรมมิตร์ จะไม่มีการขายทิ้งหุ้น SST ออกไปแน่นอน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ทำมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ดังนั้นข่าวลือการปรับโครงสร้างใหม่จะไม่ได้จากกลุ่มของตนเองแน่
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง นายกมล เอี้ยวศิวิกูล หนึ่งในผู้ถือหุ้น ซึ่งได้รับการยืนยันว่า ปัจจุบันตนเองมีหุ้นในSST เพียง 100 หุ้นตามสิทธิ์ของกรรมการบริษัทเท่านั้น และไม่ทราบสาเหตุถึงการปรับราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นSST จะพบว่ากลุ่ม ชินธรรมมิตร์ ถือหุ้นรวมกันประมาณ 23.40% ขณะที่กลุ่มสุขะนินทร์ ถือหุ้นรวมกันประมาณ 40.04% ส่วนนายกมล แม้จะไม่ได้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท แต่พบว่า นางสาวจิตวดี เอี้ยวศิวิกูล เข้าถือหุ้นอยู่จำนวน 4.56%
โบรกฯแนะชะลอลงทุน
สำหรับภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาหลักทรัพย์ฯ วานนี้ ปรับตัวลงเล็กน้อย สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและตลาดหุ้นในต่างประเทศที่ปิดในแดนลบ เพราะนักลงทุนต่างวิตกกังวลว่าจะเหตุการณ์จะยืดเยื้อจึงกลายเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นไทยออกมา แต่ภาพรวมพบว่านักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิมากสุด โดยขายสุทธิ 216.51 ล้านบาท และ 181.52 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนทั่วไปมีการซื้อสุทธิ 398.02 ล้านบาท
สำหรันแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ น่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนควรจับตาการปิดล้อมทำเนียนรัฐบาลของกลุ่ม นปช. ดัชนีดาวโจนส์ และราคาน้ำมันโลก จึงแนะนำให้ควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ ซึ่งประเมินแนวรับอยู่ที่ 424-426 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 434-436 จุด
ด้าน นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า จากการชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลของกลุ่ม นปช.ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนด้วยความวิตกกังวลต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่าจะรุนแรงและกินระยะเวลานาน ขณะที่ปัจจัยในต่างๆ ประเทศไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรพิเศษ เนื่องจากอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัว จึงแนะนำให้ควรชะลอการลงทุนและถือเงินสดไว้ในมือ โดยมีแนวรับที่ 424 จุด และแนวต้านที่ 440 จุด