xs
xsm
sm
md
lg

ชูทางรอดธุรกิจบล.พ้นวิกฤต ต้องเพิ่มธุรกรรมใหม่ปั๊มเงิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-นายกสมาคมโบรกเกอร์ เชื่อมั่นปีนี้บริษัทหลักทรัพย์ยังมีโอกาสทำกำไร แม้ภาวะหุ้นซบฉุดรายได้ค่าคอมหด เหตุมีเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆพียบ หากปรับเกมหันมาหยิบใช้เป็นช่องทางปั๊มเงิน แต่ต้องขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้บริหารแต่ละบริษัท “กัมปนาท” ชี้ วอลุ่มปีนี้ 1-1.3 หมื่นล้านบาทต่อวันถือว่าเก่งแล้ว เพราะต่างชาติ สถาบันในประเทศ นักลงทุนขาใหญ่ ยังไม่กล้ากลับมา จนทำให้รายย่อยตาบอดขาคนชี้ทาง

นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทรีนีตี้ จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) เปิดเผยกับ ASTV ผู้จัดการรายวัน ถึงภาพรวมธุรกิจหลักทรัพย์ในปี 2552 ว่า แม้จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินสหรัฐและเศรษฐกิจโลกถดถอย แต่ยังสามารถทำกำไรได้ เนื่องจาก โบรกเกอร์ต่างมีการทำธุรกรรมใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา เพื่อสร้างโอกาสในการทำกำไร และบริหารความเสี่ยงของบริษัท

สำหรับธุรกรรมใหม่ที่เปิดโอกาสให้บริษัทหลักทรัพย์ดำเนินการ อาทิ ธุรกรรมการยืมและการให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) เพื่อขายชอร์ต ตราสารอนุพันธ์ ซึ่งมีทั้ง ฟิวเจอร์สอ้างอิงดัชนี SET 50 (SET50 Index Futures) ฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับหุ้นสามัญ (Stock Futures) ออปชั่นอ้างอิงกับ SET 50 (SET50 Index Options ) และล่าสุดที่เริ่มซื้อขายในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์คือ ฟิวเจอร์สที่อ้างอิงกับทองคำ (โกลด์ฟิวเจอร์) นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประมาณเดือนพฤษภาคมจะมีการเพิ่มสินค้าใหม่อีก เช่น การซื้อขายออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) และอื่นๆ

รวมถึงการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้คาดว่าจะไม่แกว่งตัวมากนักเหมือนกับปี2551ที่ดัชนีปรับตัวลดลงจาก 858 จุด ลดลง 47% เหลือ 449.96 จุดโดยคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 300-500 จุด ซึ่งมีโอกาสที่จะสามารถทำกำไรได้จากมีการใช้เครื่องมือทางการเงินใหม่ๆเข้ามาทำกำไร แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถการบริหารงานของโบรกเกอร์แต่ละแห่งว่าจะสามารถปรับตัวหาธุรกรรมใหม่ๆเข้ามาเสริมแทนรายได้ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์ได้มากน้อยแค่ไหน

เพราะโดยส่วนตัวเชื่อว่ามูลค่าการซื้อขาย(วอลุ่ม)โดยเฉลี่ยในปีนี้จะลดลง ซึ่งหากปีนี้วอลุ่มซื้อขายสามารถอยู่ที่ 10,000 -13,000 ล้านบาทต่อวัน ถือว่าดีมากแล้ว เพราะมีโบรกเกอร์บางแห่งมองว่าวอลุ่มซื้อขายอาจในปี 2552 จะต่ำเหลือจนเพียง 6,000 -7,000 ล้านบาทต่อวันเท่านั้น

ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวมีสาเหตุจาก สัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่ลดลงตามปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นไทยออกมาเกือบหมดแล้วทำให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นปีนี้จึงเหลืออยู่น้อยมาก หรือโดยรวมนักลงทุนต่างชาติจะไม่สามารถปล่อยขายหุ้นในปริมาณมากๆเท่ากับปีที่ผ่านมาได้ ขณะเดียวกันยังเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติเหล่านี้จะยังไม่กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก

ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศนั้นมีผลขาดทุนจากดัชนีตลาดหุ้นในปีที่ผ่านมา ทำให้ผลดำเนินงานมีการปรับตัวลดลงมาจำนวนมาก ทำให้ปี2552 บรรดาผู้จัดการกองทุนจะต้องมีการวางกลยุทธ์การลงทุนใหม่ๆ ที่จะสามารถทำให้มีผลประกอบการดีขึ้น ซึ่งการลงทุนในหุ้นในปีนี้ประเมินว่าจะไม่ใช่ตัวเลือกแรก และยังไม่น่าสนใจเท่าที่ควร หรือแม้จะมีก็จะเป็นการลงทุนในสัดส่วนที่น้อยลง

ส่วนด้านนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดทุน นายกัมปนาท กล่าวว่า นักลงทุนกลุ่มนี้ก็ได้รับผลขาดทุนเช่นกัน นอกจากนี้ยังถูกทางการจับตาในเรื่องการซื้อขายหุ้นอยู่ ทำให้นักลงทุนรายใหญ่จะยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้จึงส่งผลให้แรงขับเคลื่อนที่จะผลักดันดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เหลือเพียงนักลงทุนรายย่อย แต่การที่นักลงทุนรายย่อยจะเข้ามาลงทุน จำเป็นจะต้องมีผู้นำ ซึ่งแต่เดิมแรงผลักดันนี้จะมาจากนักลงทุนต่างชาติ สถาบัน และนักลงทุนรายใหญ่ ดังนั้นหากทั้ง 3 กลุ่มไม่เข้ามาลงทุนก็จะทำให้รายย่อยยังไม่เข้าลงทุนเช่นกัน

“ปีนี้แม้ภาวะตลาดหุ้นจะไม่ดี แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นปีที่แย่ของธุรกิจหลักทรัพย์ แม้วอลุ่มการซื้อขายลดลง จนมีผลกระทบกับรายได้ เพราะโบรกเกอร์มีรายได้หลักจากค่านายหน้าซื้อขายหุ้น แต่โบรกเกอร์ยังสามารถที่จะทำกำไรได้จากธุรกรรมอื่นๆ เพราะมีเครื่องมือทางการเงินอื่นๆให้เลือกอีกมากมาย จึงสามารถนำมาบริหารความเสี่ยงและหาโอกาสในการทำกำไรได้ เช่นจาก SBL โกลด์ฟิวเจอร์ DWฯลฯ อย่างไรก็ตามโบรกเกอร์รายใดจะสามารถหารายได้จากจุดนี้ได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการบริหารงานของแต่ละแห่งเช่นกัน”นายกัมปนาท กล่าว

นายกัมปนาท กล่าวว่าผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศนั้น ทำให้ขณะนี้มีผู้มองธุรกิจหลักทรัพย์ในปีนี้ เป็น 2 มุมมอง คือ มุมมองแรก คือ เชื่อว่าจะดีกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 25540 เนื่องจาก ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดในต่างประเทศ ขณะที่สถาบันการเงินไทยในประเทศมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง บริษัทมีกำไร ส่วนมุมมองที่สองนั้นมองว่าจะแย่กว่าปี 2540 เพราะวิกฤตครั้งนี้กระทบต่อเศรษฐกิจทั้งโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบที่แรงและยาวนานกว่า ซึ่งกระทบต่อประเทศต่างๆทั่วโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น