เอเอฟพี – ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ ระบุว่า การที่อิหร่านปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรในอวกาศได้สำเร็จ แสดงให้เห็นว่าโอกาสที่จะการสร้างขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์พิสัยไกลของอิหร่าน ซึ่งอาจมีศักยภาพในการยิงได้ไกลถึงยุโรปหรือสหรัฐฯนั้น กำลังคืบหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
ความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศของอิหร่าน เมื่อบวกกับการที่อิหร่านมีโครงการพัฒนานิวเคลียร์และเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมซึ่งเป็นที่ระแวงสงสัยของนานาประเทศ จึงทำให้เกิดความหวั่นวิตกเพิ่มขึ้นอีกว่า ในท้ายที่สุดแล้วอิหร่านจะสามารถสร้างขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ได้สำเร็จ
“ในกรณีของอิหร่านนั้น สิ่งที่เรากังวลมากที่สุดก็คือการเป็นประเทศที่สามารถปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรในอวกาศได้ เพราะแสดงว่าพวกเขาสามารถยิงอาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีปในระยะไกลได้” ริค เลห์เนอร์ โฆษกสำนักงานการป้องกันขีปนาวุธสหรัฐฯ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้นำอิหร่านได้แพร่ภาพการปล่อยดาวเทียม “โอมิด” (ความหวัง) ขึ้นสู่อวกาศในคืนวันจันทร์ (2) โดยระบุว่าเป็นหลักหมายสำคัญทางด้านเทคโนโลยีและเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของประเทศ
แต่ความสำเร็จดังกล่าวกลับยิ่งตอกย้ำความวิตกกังวลของโลกตะวันตกที่เชื่อว่าอิหร่านกำลังพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์อยู่ อีกทั้งยังอาจส่งผลให้มีการถกเถียงกันเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในยุโรป แม้ว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ จะส่งสัญญาณบอกเป็นนัยแล้วว่าเขาจะชะลอโครงการดังกล่าวออกไปเพื่อบรรเทาความตึงเครียดกับรัสเซีย
แพทริค คลอสัน แห่งสถาบันเพื่อนโยบายตะวันออกใกล้ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตันระบุว่า ที่ผ่านมาฝ่ายที่สนับสนุนให้ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธเห็นว่า อิหร่านนั้นอาจจะเป็นภัยคุกคามต่อยุโรปได้ ทว่านายกรัฐมนตรีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย “เคยกล่าวเยาะเย้ยแถลงการณ์ของสหรัฐฯ
ว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่อิหร่านจะสามารถพัฒนาระบบขีปนาวุธที่มีพิสัยไกลถึงยุโรปได้ และเห็นว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหล”
ดังนั้น ในขณะที่อิหร่านยังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องให้ระงับโครงการนิวเคลียร์ การปล่อยดาวเทียมในครั้งนี้ย่อมทำให้นโยบายการทูตของสหรัฐฯ และยุโรปต่ออิหร่าน มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ในขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ก็พยายามที่จะลดความตึงเครียดลงและเปิดทางให้มีการเจรจามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรสหรัฐฯ และยุโรปก็ได้ย้ำท่าทีต่ออิหร่าน โดยรอเบิร์ต กิบส์ โฆษกทำเนียบขาว ได้กล่าวในวันอังคารว่าการปล่อยดาวเทียมของอิหร่าน “ไม่ได้ทำให้เราเชื่อว่าอิหร่านกำลังแสดงความรับผิดชอบต่อการเสริมสร้างเสถียรภาพหรือความมั่นคงในภูมิภาค”
นอกจากนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีแผนการที่จะนำประเด็นโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน เข้าสู่การเจรจาร่วมกับพันธมิตรยุโรป รัสเซีย และจีนที่เยอรมนีในวันพุธ(4)ด้วย
พวกผู้เชี่ยวชาญยังระบุด้วยว่า การที่อิหร่านประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมทั้งๆ ที่กำลังถูกมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติ โดยเฉพาะในเรื่องเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างขีปนาวุธ แสดงว่าอิหร่านได้เข้าร่วมกับประเทศพิเศษบางประเทศ ที่มีความสามารถทางด้านควบคุมดาวเทียมในอยู่ในวงโคจรได้
ทั้งนี้จากข้อมูลขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (NASA) และรายงานของผู้สังเกตการณ์สมัครเล่นระบุว่า ดาวเทียมของอิหร่านดูเหมือนจะถูกส่งขึ้นไปอยู่ในวงโคจรระดับค่อนข้างต่ำ แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าอิหร่านใช้จรวดสามตอนซึ่งเป็นเทคโนโลยีในแบบเดียวกับขีปนาวุธ “สกั๊ด” (Scud) ในยุคโซเวียต หรือใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่านั้นซึ่งเป็นแบบสองตอน โดยหากเป็นแบบหลังนี้ก็หมายความว่า อิหร่านนั้นมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมากถึงขึ้นที่อาจจะสร้างขีปนาวุธข้ามทวีป ICBM ได้เร็วกว่าที่คาดคิดกันด้วยซ้ำ
ความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศของอิหร่าน เมื่อบวกกับการที่อิหร่านมีโครงการพัฒนานิวเคลียร์และเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมซึ่งเป็นที่ระแวงสงสัยของนานาประเทศ จึงทำให้เกิดความหวั่นวิตกเพิ่มขึ้นอีกว่า ในท้ายที่สุดแล้วอิหร่านจะสามารถสร้างขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ได้สำเร็จ
“ในกรณีของอิหร่านนั้น สิ่งที่เรากังวลมากที่สุดก็คือการเป็นประเทศที่สามารถปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรในอวกาศได้ เพราะแสดงว่าพวกเขาสามารถยิงอาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีปในระยะไกลได้” ริค เลห์เนอร์ โฆษกสำนักงานการป้องกันขีปนาวุธสหรัฐฯ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้นำอิหร่านได้แพร่ภาพการปล่อยดาวเทียม “โอมิด” (ความหวัง) ขึ้นสู่อวกาศในคืนวันจันทร์ (2) โดยระบุว่าเป็นหลักหมายสำคัญทางด้านเทคโนโลยีและเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของประเทศ
แต่ความสำเร็จดังกล่าวกลับยิ่งตอกย้ำความวิตกกังวลของโลกตะวันตกที่เชื่อว่าอิหร่านกำลังพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์อยู่ อีกทั้งยังอาจส่งผลให้มีการถกเถียงกันเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในยุโรป แม้ว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ จะส่งสัญญาณบอกเป็นนัยแล้วว่าเขาจะชะลอโครงการดังกล่าวออกไปเพื่อบรรเทาความตึงเครียดกับรัสเซีย
แพทริค คลอสัน แห่งสถาบันเพื่อนโยบายตะวันออกใกล้ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตันระบุว่า ที่ผ่านมาฝ่ายที่สนับสนุนให้ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธเห็นว่า อิหร่านนั้นอาจจะเป็นภัยคุกคามต่อยุโรปได้ ทว่านายกรัฐมนตรีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย “เคยกล่าวเยาะเย้ยแถลงการณ์ของสหรัฐฯ
ว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่อิหร่านจะสามารถพัฒนาระบบขีปนาวุธที่มีพิสัยไกลถึงยุโรปได้ และเห็นว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหล”
ดังนั้น ในขณะที่อิหร่านยังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องให้ระงับโครงการนิวเคลียร์ การปล่อยดาวเทียมในครั้งนี้ย่อมทำให้นโยบายการทูตของสหรัฐฯ และยุโรปต่ออิหร่าน มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ในขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ก็พยายามที่จะลดความตึงเครียดลงและเปิดทางให้มีการเจรจามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรสหรัฐฯ และยุโรปก็ได้ย้ำท่าทีต่ออิหร่าน โดยรอเบิร์ต กิบส์ โฆษกทำเนียบขาว ได้กล่าวในวันอังคารว่าการปล่อยดาวเทียมของอิหร่าน “ไม่ได้ทำให้เราเชื่อว่าอิหร่านกำลังแสดงความรับผิดชอบต่อการเสริมสร้างเสถียรภาพหรือความมั่นคงในภูมิภาค”
นอกจากนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีแผนการที่จะนำประเด็นโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน เข้าสู่การเจรจาร่วมกับพันธมิตรยุโรป รัสเซีย และจีนที่เยอรมนีในวันพุธ(4)ด้วย
พวกผู้เชี่ยวชาญยังระบุด้วยว่า การที่อิหร่านประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมทั้งๆ ที่กำลังถูกมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติ โดยเฉพาะในเรื่องเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างขีปนาวุธ แสดงว่าอิหร่านได้เข้าร่วมกับประเทศพิเศษบางประเทศ ที่มีความสามารถทางด้านควบคุมดาวเทียมในอยู่ในวงโคจรได้
ทั้งนี้จากข้อมูลขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (NASA) และรายงานของผู้สังเกตการณ์สมัครเล่นระบุว่า ดาวเทียมของอิหร่านดูเหมือนจะถูกส่งขึ้นไปอยู่ในวงโคจรระดับค่อนข้างต่ำ แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าอิหร่านใช้จรวดสามตอนซึ่งเป็นเทคโนโลยีในแบบเดียวกับขีปนาวุธ “สกั๊ด” (Scud) ในยุคโซเวียต หรือใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่านั้นซึ่งเป็นแบบสองตอน โดยหากเป็นแบบหลังนี้ก็หมายความว่า อิหร่านนั้นมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมากถึงขึ้นที่อาจจะสร้างขีปนาวุธข้ามทวีป ICBM ได้เร็วกว่าที่คาดคิดกันด้วยซ้ำ
