ฟิคโก้กรุ๊ป ของตระกูล"ศรีชวาลา" เบรกแผนลงทุนสร้างบัดเจ็ทโฮเทล 40 แห่งทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หันทบทวนแผนแบบไม่มีกำหนด รวมเม็ดเงินกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท อ้างกองทุนจากประเทศสิงคโปร์ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์หลักด้านลงทุน เจอพิษวิกฤตการเงินโลกลูกค้าชะลอซื้อหน่วยลงทุน ด้านธุรกิจค้าปลีก สบช่องแปลงวิกฤตเป็นโอกาส ตระเวณชอปของถูกลุยซื้อลิขสิทธิ์สินค้าแบรนด์เนม ล่าสุดยึดแบรนด์เวอซาเช่ในประเทศไทย พร้อมเจรจาเพิ่มอีก 2-3 ราย
นายกฤษน์ ศรีชวาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟิคโก้ กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจด้านสิ่งทอ ,โรงแรม ,อสังหาริมทรัพย์ , ค้าปลีก, นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม เป็นต้น เปิดเผยว่า บริษัทได้ชะลอแผนการลงทุนในส่วนของธุรกิจโรงแรมออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะผู้รวมทุนหลักคือ กองทุนจากประเทศสิงคโปร์ มีการชะลอแผนการลงทุน ซึ่งสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจโลก ค่าเงินผันผวน และปัญหาการเมืองในประเทศไทย
โดยแผนที่ชะลอออกไปก่อนคือโครงการสร้างโรงแรมราคาประหยัด(บัดเจ็ท โฮเทล) ที่เตรียมไว้ว่าภายใน 5 ปี นับจากปลายปี 2551 จะลุยเปิดธุรกิจโรงแรงราคาประหยัดรวม 30-40 แห่ง แต่ละแห่งเป็นโรงแรมขนาด 100-150 ห้อง ในประเทศกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา และ ไทย เป็นต้น รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 13,000 ล้านบาท
"จากปัจจัยลบหลายด้าน โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจโลก ได้ส่งผลกระทบให้กองทุนจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของบริษัท ชะลอแผนการลงทุน เพราะลูกค้าที่เข้ามาซื้อกองทุนก็ชะลอการซื้อประกอบกับช่วงนี้หากมีการระดมเงินจำนวนมากก็ต้องเตรียมตอบคำถามแก่ผู้ซื้อกองทุนด้วย ขณะเดียวกัน ค่าเงินที่ผันผวน ทำให้บริษัทต้องนำแผนการลงทุนทั้งหมดมาศึกษาใหม่ให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตรงนี้จึงตอบไม่ได้ว่าจะชะลอแผนออกไปนานเท่าใด"
นอกจากนั้นยังปรับแผนการลงทุนโครงการในโปรเจค หลังสวน ของ กลุ่มฟิคโก้ จากแผนเดิมที่จะสร้างเป็นเซอร์วิสอพาร์ทเม้นต์ ปรับมาเป็น โรงแรมระดับ 5 ดาวมูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปต์แฟชั่น แอนด์ อาร์ต โฮเทลแห่งแรกในเอเชีย เพราะต้องการสร้างความแตกต่างหนีคู่แข่งขันในย่านเดียวกัน ล่าสุดเซ็นสัญญาให้กลุ่มแอคคอร์เป็นผู้บริหาร ขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างได้ 20% แล้ว คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ปีหน้า
สำหรับธุรกิจค้าปลีก ล่าสุดได้เซ็นสัญญากับเจ้าของแบรนด์เวอซาเช่(Versace) พร้อมซื้อกิจการผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเดิมในประเทศไทยที่หมดสัญญาลงไป รวมเงินลงทุนราว 70 ล้านบาท โดยจะนำสินค้าในเครือของเวอซาเช่ รวม 6 แบรนด์ นำเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทย ผ่านช่องทางจำหน่ายทั้งในชอป และ ในดีพาร์ทเม้นสโตร์ นอกจากนั้น ยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์อีก 2-3 ราย เป็นสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมจากประเทศอเมริกา
"จากวิกฤตทางการเงิน ก็เป็นโอกาสให้บริษัทได้เลือกซื้อลิขสิทธิ์ หรือเทคโอเวอร์ธุรกิจในราคาที่ถูกกว่าช่วงปกติราว 50% แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูด้วยว่าสินค้านั้นๆต้องเป็นแบรนด์เนมที่คนทั่วไปรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพื่อลดต้นทุนการสร้างแบรนด์ แต่ก็ยอมรับว่าแม้จะซื้อลิขสิทธิ์มาได้ราคาถูก แต่จากการจับจ่ายที่หดตัว ก็ทำให้รายได้ก็ลดลงด้วย"
อย่างไรก็ตาม ภาครวมธุรกิจของฟิคโก้ กรุ๊ป ในปีที่ผ่านมา มีรายได้ประมาณ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นจากพร็อพเพอร์ตี้และโรงแรม 1,000 ล้านบาท ,ฟิคโกเทรดดิ้ง แอนด์ลิสซิ่ง 2,000 ล้านบาท ,อุตสาหกรรมสิ่งทอ 2,000 ล้านบาท และ ธุรกิจค้าปลีกสินค้าแฟชั่นอีก 300 ล้านบาท แต่ปีนี้จากภาพรวมของตลาดที่กำลังซื้อลดลง ทั้งภายในประเทศและการส่งออก ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าภาพรวมรายได้ของกรุ๊ปน่าจะลดลงจากปีก่อน 20-30% ตามภาวะตลาด หรืออย่างดีที่สุดคือไม่เติบโต
นายกฤษน์ ศรีชวาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟิคโก้ กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจด้านสิ่งทอ ,โรงแรม ,อสังหาริมทรัพย์ , ค้าปลีก, นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม เป็นต้น เปิดเผยว่า บริษัทได้ชะลอแผนการลงทุนในส่วนของธุรกิจโรงแรมออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะผู้รวมทุนหลักคือ กองทุนจากประเทศสิงคโปร์ มีการชะลอแผนการลงทุน ซึ่งสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจโลก ค่าเงินผันผวน และปัญหาการเมืองในประเทศไทย
โดยแผนที่ชะลอออกไปก่อนคือโครงการสร้างโรงแรมราคาประหยัด(บัดเจ็ท โฮเทล) ที่เตรียมไว้ว่าภายใน 5 ปี นับจากปลายปี 2551 จะลุยเปิดธุรกิจโรงแรงราคาประหยัดรวม 30-40 แห่ง แต่ละแห่งเป็นโรงแรมขนาด 100-150 ห้อง ในประเทศกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา และ ไทย เป็นต้น รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 13,000 ล้านบาท
"จากปัจจัยลบหลายด้าน โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจโลก ได้ส่งผลกระทบให้กองทุนจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของบริษัท ชะลอแผนการลงทุน เพราะลูกค้าที่เข้ามาซื้อกองทุนก็ชะลอการซื้อประกอบกับช่วงนี้หากมีการระดมเงินจำนวนมากก็ต้องเตรียมตอบคำถามแก่ผู้ซื้อกองทุนด้วย ขณะเดียวกัน ค่าเงินที่ผันผวน ทำให้บริษัทต้องนำแผนการลงทุนทั้งหมดมาศึกษาใหม่ให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตรงนี้จึงตอบไม่ได้ว่าจะชะลอแผนออกไปนานเท่าใด"
นอกจากนั้นยังปรับแผนการลงทุนโครงการในโปรเจค หลังสวน ของ กลุ่มฟิคโก้ จากแผนเดิมที่จะสร้างเป็นเซอร์วิสอพาร์ทเม้นต์ ปรับมาเป็น โรงแรมระดับ 5 ดาวมูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปต์แฟชั่น แอนด์ อาร์ต โฮเทลแห่งแรกในเอเชีย เพราะต้องการสร้างความแตกต่างหนีคู่แข่งขันในย่านเดียวกัน ล่าสุดเซ็นสัญญาให้กลุ่มแอคคอร์เป็นผู้บริหาร ขณะนี้ดำเนินการก่อสร้างได้ 20% แล้ว คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ปีหน้า
สำหรับธุรกิจค้าปลีก ล่าสุดได้เซ็นสัญญากับเจ้าของแบรนด์เวอซาเช่(Versace) พร้อมซื้อกิจการผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเดิมในประเทศไทยที่หมดสัญญาลงไป รวมเงินลงทุนราว 70 ล้านบาท โดยจะนำสินค้าในเครือของเวอซาเช่ รวม 6 แบรนด์ นำเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทย ผ่านช่องทางจำหน่ายทั้งในชอป และ ในดีพาร์ทเม้นสโตร์ นอกจากนั้น ยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์อีก 2-3 ราย เป็นสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมจากประเทศอเมริกา
"จากวิกฤตทางการเงิน ก็เป็นโอกาสให้บริษัทได้เลือกซื้อลิขสิทธิ์ หรือเทคโอเวอร์ธุรกิจในราคาที่ถูกกว่าช่วงปกติราว 50% แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูด้วยว่าสินค้านั้นๆต้องเป็นแบรนด์เนมที่คนทั่วไปรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพื่อลดต้นทุนการสร้างแบรนด์ แต่ก็ยอมรับว่าแม้จะซื้อลิขสิทธิ์มาได้ราคาถูก แต่จากการจับจ่ายที่หดตัว ก็ทำให้รายได้ก็ลดลงด้วย"
อย่างไรก็ตาม ภาครวมธุรกิจของฟิคโก้ กรุ๊ป ในปีที่ผ่านมา มีรายได้ประมาณ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นจากพร็อพเพอร์ตี้และโรงแรม 1,000 ล้านบาท ,ฟิคโกเทรดดิ้ง แอนด์ลิสซิ่ง 2,000 ล้านบาท ,อุตสาหกรรมสิ่งทอ 2,000 ล้านบาท และ ธุรกิจค้าปลีกสินค้าแฟชั่นอีก 300 ล้านบาท แต่ปีนี้จากภาพรวมของตลาดที่กำลังซื้อลดลง ทั้งภายในประเทศและการส่งออก ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้คาดว่าภาพรวมรายได้ของกรุ๊ปน่าจะลดลงจากปีก่อน 20-30% ตามภาวะตลาด หรืออย่างดีที่สุดคือไม่เติบโต
