xs
xsm
sm
md
lg

แกะรอยพนันบอลออนไลน์พันล้าน จากคดีฆ่าคู่อริสู่อาชญกรข้ามชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ข่าวเชิงวิเคราะห์ “เจาะองค์กรอาชญากรรมพนันบอลพันล้าน” โดยทีมข่าวอาชญากรรม

ตอนที่ 1

ASTVผู้จัดการรายวัน-จากปมสังหารเสี่ยขอนแก่น นักพนันขาใหญ่สู่การตีแผ่องค์กรอาชญากรรมพนันบอล มะเร็งร้ายในระบบเศรษฐกิจ เผยนับวันยิ่งเติบใหญ่มูลค่าหมุนเวียนต่อวันมหาศาล กลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่ดึงดูดคนในสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องทุกระดับ ตั้งแต่นักการเมืองใหญ่ ข้าราชการระดับสูง ตำรวจ นักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน ไปจนถึง นักศึกษา นักเรียน หยั่งรากลึกแย่งชิงผลประโยชน์ขยายตัวไปสู่อาชญากรรมในรูปแบบอื่นๆ

การพนันทายผลฟุตบอลลีกต่างประเทศที่เรารู้จักกันดี อาทิ อังกฤษ อิตาลี สเปน เยอรมัน ฝรั่งเศส ปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจพนันที่เติบโตแซงหน้าเหนือการพนันใดๆเท่าที่มีอยู่ในไทยแม้แต่หวยใต้ดินที่ว่าเครือข่ายฝังรากหยั่งลึกมานานก็ตาม

ความที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และ พัฒนาไปอย่างคาดไม่ถึง ท่ามกลางเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยสนับสนุน การเชื่อมต่อเข้ากับองค์กรอาชกรรมข้ามชาติได้อย่างลงตัวด้วยการเล่นผ่านเว็บไซต์พนันที่จดทะเบียนในต่างประเทศ ไม่เคยมีใครตอบได้ชัดเจนนักว่า องค์กรอาชญกรรมพนันบอล(อ่านล้อมกรอบ"ผ่าเครือข่ายพนันบอลออนไลน์" ประกอบ) จะมูลค่าเท่าใดกันแน่ ตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด

กระทั่ง กระสุนปืนจากคนร้ายปลิดชีวิต เสี่ยวี หรือ เฮียฮุย นายวีระพงษ์ การกิจไพศาล นักธุรกิจชื่อดังของจ.ขอนแก่นที่เดินทางเข้ามาทำธุระที่กรุงเทพฯเมื่อกลางดึกวันที่ 14 ธันวาคม ปีที่แล้ว ตามมาด้วยการกวาดล้างโต๊ะพนันบอลครั้งใหญ่พร้อมกันกว่า 58 แห่งใน16จังหวัดเมื่อวันที่ 10 มกราคม และ ต่อมาอีก 19 วันให้หลัง ตำรวจก็สามารถจับกุมคนร้ายที่ร่วมกันสังหารเสี่ยวี โดยระบุจะขยายผลถึงผู้จ้างวานฆ่า คือ “เสี่ยถ่อ” หรือ นายสามารถ กาจกำจรเดช ผู้ที่ทราบกันดีในวงการพนันบอลว่า เป็นรายใหญ่ที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของวงการ เมื่อวันที่ 29มกราคมที่ผ่านมา ความสลับซับซ้อนขององค์กรอาชญากรรมพนันบอลจึงค่อยๆเปิดให้สาธารณชนได้รับรู้!

**จากคดีสังหารโหดเปิดสู่วงการพนันบอล

การรับรู้ของสังคมเริ่มหลังจากตำรวจเปิดเผยว่า การตายของนักธุรกิจขอนแก่นพัวพันกับการพนันบอล โดยข้อมูลระบุว่า นายวีระพงษ์ การกิจโอฬาร อายุ 44 ปี หรือที่รู้จักในนาม“เสี่ยวี”หรือ“เสี่ยฮุย ขอนแก่น”นั้นเป็นบุคคลที่กว้างขวางเข้าขั้นเศรษฐีเพราะ มีธุรกิจมากมาย อาทิ ไฟแนนซ์รถยนต์ ร้านค้าทอง รับจำนำบ้านและที่ดิน คอกม้าแข่ง โดยมีลูกหนี้และเจ้าหนี้หลายรายด้วยกัน

ขณะที่ข้อมูลในทางลับของตำรวจระบุว่า เสี่ยวี ยังถือเป็นนักเล่นพนันตัวยง ชอบเล่นม้าแข่งเป็นประจำ รวมถึงทุ่มแทงพนันบอลเองได้เสียคราวละหลายล้านบาท และ รับเป็นตัวแทนให้กับนักการเมืองและอดีตรัฐมนตรีหลายคนจนมีชื่อเสียงพุ่งขึ้นมาเป็น ขาใหญ่ของประเทศในเวลาอันรวดเร็วจัดเข้าทำเนียบ 4 อรหันต์ดาวรุ่งของวงการอันได้แก่ ร็อกกี่ ชัย ฟันเหล็ก หนุ่ม บางเขน และตัวเขา วี ขอนแก่น

แหล่งข่าวจากพนักงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 (บก.น.4) บชน.ที่เข้าร่วมคลี่คลายคดีนี้ เปิดเผย การมีชื่อเสียงและร่ำรวยขึ้นมาของเสี่ยวีนั้น เสี่ยถ่อ หรือ นายสามารถ กาจกำจรเดช ผู้ที่ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการตายของเขาถือเป็นผู้มีพระคุณผู้หนึ่ง

เดิม เสี่ยวี และ เสี่ยถ่อ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เสียถ่อ อดีตคือนักพนันขาใหญ่เก่าแก่ที่ได้ฉายาว่า เป็น นักเล่นพนันบาร์คาร่า มือหนึ่งของไทย เล่นการพนันอย่างมือเติบมาตลอดจนกระทั่งมาร่วมหุ้นกับเพื่อนในวงการเดียวกันเปิดผับแห่งหนึ่งที่สุขุมวิทเป็นแหล่งสังสรรค์และเล่นพนันกันตั้งแต่ปี 2547

เสี่ยถ่อ มีเงินมากมายแค่ไหนไม่มีใครทราบ เมื่อหันเหมาเป็นตัวแทนรับแทงผลบอล แต่เขาก็ยังรักที่จะเล่นพนัน โดยเฉพาะบอลที่แทงคู่หนึ่งได้เสียเป็นล้านจนไม่ค่อยมีใครเล่นด้วยนอกจากเสี่ยวี

เวลาผ่านไปกว่า 4 ปี นายสามารถเจอปัญหาสุขภาพรุมเร้า ร่างกายอ่อนเปลี้ย ขณะที่สมองเริ่มมีปัญหาเพราะเสพยาอยู่เป็นประจำจนเกิดอาการประสาทหลอน หวาดระแวง มักเล่นพนันเสียมากกว่าได้ ขณะเดียวกันกิจการโต๊ะบอลก็เริ่มถดถอย ตรงกันข้ามกับ เสียวี ที่สวนทางขยายตัวมากขึ้น จากคนมีบุญคุณต่อกัน เสี่ยถ่อกลายเป็นลูกหนี้เสี่ยวีติดหนี้คิดเป็นเงินหลายสิบล้าน

เสี่ยถ่อพยายามเจรจาของสะสางเรื่องหนี้ และ ขั้นตอนผ่านมาถึงจะโอนบ้านและที่ดินย่านสุขุมวิทให้กับเสียวี ซึ่งยังไม่มีใครทราบว่า เสี่ยวีคิดอย่างไรก็ถูกยิงตายเสียก่อน ขณะที่ก่อนเสียวีจะถูกฆ่าตาย ในหมู่เซียนพนันระบุว่า เสี่ยถ่อ ได้วางแผนร่วมกับนายตำรวจใหญ่เพื่อกวาดล้างเครือข่ายพนันฟุตบอลของฝ่ายตรงข้าม

“จะเห็นได้ว่า การกวาดล้างโต๊ะบอลครั้งนั้นแทบไม่มีเครือข่ายอื่นๆเลย เพราะเสี่ยถ่อไม่รู้จักและให้ข้อมูลกับทางตำรวจ เสี่ยถ่อพยายามโน้มน้าวตำรวจว่า เครือข่ายพนันบอลมีเงินหมุนเวียนมหาศาลเป็นพันๆล้าน หากทลายได้ตำรวจนอกจากจะได้รับเงินส่วนแบ่งตามกฎหมาย 40% แล้ว จากนั้นก็สามารถมีรายได้อีกด้วยการต่อรองกับโต๊ะต่างๆเพื่อเก็บส่วย” เซียนพนันรายหนึ่งกล่าว

ข้อมูลดังกล่าวโยงเข้ากับพฤติการณ์ของกับนายตำรวจใหญ่บางคนที่เรียกโต๊ะพนันบอลในเครือข่าย“เสี่ยวี”ที่มีโครงข่ายเชื่อมโยงกับโต๊ะพนันบอลในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งมีทั้งเซียนบอลกระเป๋าหนัก นักการเมืองระดับประเทศ อดีตรัฐมนตรีหลายคนเป็นลูกค้ามาเจรจาเรื่องส่วยรายเดือนที่คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 500 ล้านบาทต่อเดือน

จากคดีสังหารเสี่ยคนหนึ่งจึงถูกขยายกว้างและลึกมากขึ้นเรื่อยๆทั้งทางคดีฆาตกรรม และที่เกี่ยวพันกับองค์กรอาชญากรข้ามชาติ ทว่า พฤติกรรมบางอย่างของรูปคดี บวกกับข้อมูลทางลับที่รู้กันในวงการพนันซึ่งกระเซ็นกระสายเล็ดลอดออกมาก็ขัดแย้งกับข่าวที่ปรากฎ จึงก่อให้เกิดคำถามที่ชวนติดตามค้นหาคำตอบ

จริงหรือที่ว่า วงการพนันบอลมีเงินหมุนเวียนปัจจุบันนับหมื่นล้าน!จริงหรือที่ “อาบูบาก้า” เป็นองค์กรอาชญากรข้ามชาติ?
จริงหรือที่ว่า การจับกุมดังกล่าวก็แค่ ปรากฎการณ์ “เคาะกะลา” ตำรวจรับงานจากโต๊ะพนันฝ่ายหนึ่งเพื่อกวาดล้างอีกฝ่าย ?


**เผยเบื้องหลังเครือข่ายมีบิ๊กข้าราชการคุ้มครอง

“ผมกล้าพูดได้ว่าคดีนี้เป็นคดีที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะเราได้ใช้เวลานานกว่า 2 ปี ในการแกะรอยทางเทคนิค สะกดรอยตาม ถ่ายภาพ ไปจนถึงการนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ทางพฤติกรรมศาสตร์ จนได้หลักฐานแน่ชัดจึงนำหลักฐานทั้งหมดเข้าขอหมายค้นต่อศาลอาญา และในที่สุดศาลก็อนุมัติหมายค้นให้ เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งก็จะได้รวบรวมขอหมายจับผู้เกี่ยวข้องต่อไป” พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บังการกองปราบปราม ผู้ที่มีบทบาทสูงในการจับเครือข่ายพนันบอลครั้งนี้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ ทีมข่าวASTVผู้จัดการ

พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ยังเล่าถึงขั้นตอนการกวาดล้างองค์กรอาชญากรรมรายนี้ว่า ระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา ได้รับเบาะแสมาโดยตลอดว่าองค์กรอาชญากรรมอาบูบาก้า กำลังแผ่อิทธิพลอย่างมาก โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงหลายหน่วยงานคอยให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนทำงานลับเพื่อตรวจสอบขบวนการอาชญากรรมแก๊งนี้ โดยประกอบด้วยชุดหาข่าวในชุมชน ซึ่งทำหน้าที่หาข้อมูลพื้นฐานจากชาวบ้านตามชุมชนต่างๆทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ส่วนชุดที่สองเป็น ชุดสะกดรอย ที่ติดตามถ่ายภาพ และวีดีโอ โดยมีการนำกล้องวงจรปิดจากสถานที่ต่างๆ มาประกอบสำนวนการสอบสวนกว่า 100 ตัว ทำให้เห็นว่าใครเป็นใครที่เกี่ยวข้องกับคดีอาบูบาก้า โดยยากที่จะปฏิเสธ

“นอกจากนี้ยังประกอบด้วยชุดที่แกะรอยทางอิเล็คทรอนิค เพื่อตรวจสอบความเชื่อมโยงทางด้านการเงิน ซึ่งเมื่อเข้าถึงข้อมูลก็พบว่ามีบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เกือบพันคน จึงอายัดเงินในบัญชีไว้ตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ได้เรียกทั้งหมดมาให้ปากคำหากตรวจสอบพบว่ากระทำความผิดก็จะเรียกตัวมาดำเนินคดี แต่หากให้ความร่วมมือกับตำรวจและพิสูจน์ได้ว่าเงินไม่ได้มาจากการกระทำความผิดก็จะปล่อยไป อย่างไรก็ตามจะมีผู้ที่ถูกออกหมายจับในคดีนี้ก่อนล๊อตแรกอย่างน้อยประมาณ 15 คน ที่เป็นทั้งคนไทย และต่างชาติ คาดว่าจะขออนุมัติหมายจับจากศาลได้สิ้นเดือนนี้” พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ กล่าว

คดีนี้นั้นนับเป็นคดีที่สำคัญ เพราะ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ เป็นผู้ดำเนินการยื่นเรื่องของหมายค้นจากศาลอาญาด้วยตัวเอง เห็นได้จากหมายค้นทั้ง 58 ใบ ซึ่งต่างกับคดีอื่นที่ผู้บังคับบัญชามักจะมอบหมายให้พนักงานสอบสวนยื่นเรื่องต่อศาลตามขั้นตอนปกติ นอกจากนี้ ผบก.ป.ได้แต่งตั้งให้ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองผู้บังคับการกองปราบปราม เป็นหัวหน้าศูนย์ประสานงานเกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมอาบูบาก้า โดยเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวน ซึ่งเบื้องต้นมีถึงพันกว่าราย แต่มาให้ปากคำไม่ถึง 100 ราย

**ยอมรับมีวิ่งล็อบบี้ขอเคลียร์คดี
พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ กล่าวต่อว่า เนื่องจากอาชญากรรมองค์กรเป็นอาชญากรรมที่มักจะมีผลประโยชน์สูง และ มีผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงเป็นเรื่องปกติที่มักจะมีแรงต้าน อย่างการจับกุมอาบูบาก้าครั้งนี้ก็มีผู้ใหญ่หลายคนประสานมา เพื่อติดต่อขอเคลียร์คดี ขณะเดียวกันกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ก็ออกมาปล่อยข่าวต่างๆนานาว่า ตำรวจตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม จึงเป็นเรื่องปกติ แต่ทั้งนี้เราได้ทำงานประสานกับหลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ง. หรือ ดีอีเอ. ของอเมริกา ทำให้เชื่อได้ว่าคดีนี้ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ที่สำคัญการกระทำของบุคคลได้ถูกบันทึก และเชื่อมโยงไว้หมดแล้ว จนเห็นว่าเป็นเครือข่ายจนในที่สุดศาลจึงอนุมัติหมายค้นให้

“ที่ผ่านมาที่องค์กรอาชญากรรมเหล่านี้อยู่ได้เพราะตำรวจมักจะใจฝ่อ ไม่กล้าที่จะลงมือ หรือมองเห็นเป็นเรื่องที่ชินชาไปแล้ว ซึ่งหากปล่อยไว้อาชญากรเหล่านี้ก็จะไปก่ออาชญากรรมที่รุนแรงมากขึ้นไปอีก และในที่สุดก็จะปราบปรามยากมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีองค์กรอาชญากรรมเช่นนี้อีกมากมายในสังคม ซึ่งขณะนี้กองปราบปรามกำลังรวบรวมข้อมูล เพื่อดำเนินการต่อไป” ผบก.ป.กล่าว

**เผยจะปราบต้องตัดรากถอนโคน
พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ยังกล่าวถึงคำจำกัดความขององค์กรอาชญากรรม หรือ (Organize Crime) ว่า เป็นกลุ่มบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปดำเนินการระหว่างกันในรูปแบบต่างๆ เป็นระยะเวลาหนึ่งโดยมีวัตถุประสงค์กระทำความผิดร้ายแรงหลายอย่าง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม มีโครงสร้างของการดำเนินงานที่สลับซับซ้อน มีการติดต่อประสานงานกันเป็นระบบ โดยกิจกรรมที่สำคัญขององค์กรอาชญากรรมคือสนองความต้องการสินค้า และบริการที่ผิดกฎหมาย เช่น การพนัน การค้ายาเสพติด การค้าประเวณี ฯลฯ โดยลูกค้าที่สำคัญขององค์กรอาชญากรรมคือชาวบ้านทั่วไป

ผบก.ป.กล่าวต่อว่า องค์กรอาชญากรรมมักขยายตัวเข้าเข้าไปเกี่ยวข้อง และควบคุมธุรกิจที่ถูกกฎหมาย โดยเข้าไปแทรกแซงธุรกิจเหล่านั้นด้วยการผูกขาด การเลี่ยงภาษี ข่มขู่ ทวงหนี้ ก่อการร้าย ปั่นหุ้น ทั้งนี้ให้ได้มาซึ่งรายได้จำนวนมหาศาล หากการดำเนินการถูกเจ้าหน้าที่รัฐขัดขวาง องค์กรอาชญากรรมก็จะให้สินบน เพื่อหลบเลี่ยงกฎหมาย หรือจ้างวานฆ่าบุคคลทที่องค์กรอาชญากรรมไม่พึงประสงค์ รวมไปถึงการนำเงินที่ได้มาโดยมิชอบ มาลงทุนในธุรกิจที่ถูกกฎหมาย หรือฟอกเงินให้ถูกกฎหมาย และนำกลับมาใช้ดำเนินการกับองค์กรอาชญากรรมต่อไป

“การปราบปรามองค์กรอาชญากรรมเหล่านี้ต้องเริ่มตั้งแต่ การตัดราก ก่อนที่จะแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปสู่อาชญากรรมประเภทอื่นๆ โดยสมมติว่า หากรากคือ โอกาสของการก่ออาชญากรรม สภาพแวดล้อม ความต้องการ ปัญหาสังคม พันธุกรรม ความผิดปกติทางจิต เป็นต้น หากจำกัดรากที่เป็นปมปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ ต้นไม้อาชญากรรมก็ไม่สามารถออกกิ่งก้านเป็น การก่อการร้าย การก่อวินาศกรรม การพนัน การฆาตกรรม การค้ายาเสพติด การค้าอาวุธ ฯ ได้ด้วย

ส่วน พ.ต.อ.สุพิศาล กล่าวว่า ขณะนี้ได้ตรวจหลักฐานทุกชิ้นที่ยึดมาได้ และมีการถ่ายวีดีโอบันทึกเอาไว้ โดยจะมีผู้รับผิดชอบกับการตรวจยึดสิ่งของต่าง ๆ อย่างชัดเจนเพื่อความโปร่งใส ส่วนหลักฐานทางเทคนิคได้ประสานให้ทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที.) ดำเนินการ สำหรับเอกสารต่าง ๆ ก็จะส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ นอกจากนี้ในส่วนของอาวุธปืนที่ยึดมาได้จะนำส่งให้กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ตรวจสอบการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของร่องเกลียว ท้ายปลอกกระสุนปืน เพื่อนำหลักฐานทั้งหมดไปตรวจสอบว่าเกี่ยวโยงกับการสังหารบุคคลสำคัญในคดีต่าง ๆ

(โปรดติดตามอ่าน “อาบูบาก้า” อาชญากรข้ามชาติรายใหญ่? ฉบับวันพรุ่งนี้)

กำลังโหลดความคิดเห็น