ศาลพิพากษาจำคุก 10 ปี 1 เดือน “หมูแฮม” ซิ่งชนคนเสียชีวิตและบาดเจ็บ ศาลชี้บิดาของจำเลยเลี้ยงดูตามใจ จึงก่อเหตุดังกล่าว สั่งชดใช้ค่าเสียหายแก่ญาติผู้ตาย 2 ล้าน ด้าน ตำรวจ ปดส.คุมตัว “แรมบ้า”ผู้ต้องหาเซ็กซ์วิตถาร ข่มขืนถ่ายคลิปแบล็กเมล์สาวปริญญาโท พร้อมภรรยา ฝากขัง คัดค้านประกัน หวั่นข่มขู่พยาน
วานนี้ (30 ม.ค.) เวลา 09.30 น. ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 7 (พระโขนง) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ หรือหมูแฮม อายุ 21 ปี บุตรชายนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ กับนางสาวิณี ปะการะนัง อดีตนางสาวไทยปี2527 เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, พยายามฆ่าผู้อื่น และทำร้ายร่างกายผู้อื่นทำให้ได้อันตรายแก่กาย
ตามฟ้องโจทก์บรรยายสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค.50 เวลา 22.50 น. นายกัณฑ์พิทักษ์ ใช้ก้อนหินทุบใบหน้านายสถาพร อรุณศิริ พนักงานขับรถโดยสาร ปรับอากาศ (ปอ.) สาย 513 และขับรถเบนซ์พุ่งชนผู้โดยสารที่ยืนบนทางเท้า และนางสายชล หลวงแสง พนักงานการเงิน ขสมก. เสียชีวิต หลังเกิดเหตุรถเมล์ขับปาดหน้ารถของนายกัณฑ์พิทักษ์ให้หยุดบริเวณหน้าป้อมตำรวจจราจร ที่ปากซอยสุขุมวิท 26 แยกอารีย์ แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า จากการกระทำของจำเลย ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยมีสติฟั่นเฟือน ที่อ้างว่ามีอาการเกร็งในขณะเกิดเหตุ และตัวเองต้องได้รับการรักษาอาการป่วยจากแพทย์นั้น ศาลเห็นว่าที่จำเลยมีอาการเกร็งเกิดจากความเครียดจากการก่อเหตุเท่านั้น และที่จำเลยอ้างว่าบังคับตัวเองไม่ได้ เพราะมีสภาพจิตแปรปรวน จำเลยไม่มีพยานหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ชัดเจน ซึ่งการกระทำของจำเลยเกิดจากนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ บิดาของจำเลยเลี้ยงดูตามใจ จึงก่อเหตุดังกล่าว จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยพยายามฆ่าลงโทษจำคุก 15 ปี แต่คำให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ประกอบกับจำเลยได้บรรเทาผลร้ายให้แก่ผู้เสียหายจำนวนหลายคน เป็นเงินจำนวนพอสมควร เมื่อคำนึงถึงสุขภาพแห่งจิต จึงมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม ฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยพยายามฆ่า จำคุก 10 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นลงโทษจำคุก 2 เดือน ลดโทษในความผิดฐานดังกล่าวให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 1 เดือน รวมโทษจำคุกจำเลยไว้ 10 ปี 1 เดือน และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายที่ 7 จำนวน 1 แสนบาท ผู้เสียหายที่ 9 จำนวน 8 แสนบาท และให้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ นางทองคำ หลวงแสง มารดาของนางสายชล หลวงแสง ผู้เสียชีวิต จำนวน 2,158,500 บาท โดยให้คำนวณดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ
ภายหลังนายกัณฑ์เอนก กล่าวว่า นายกัณฑ์พิทักษ์ มีความไม่สบายใจ และรู้สึกสำนึกผิดที่ได้กระทำไป ครอบครัวได้เยียวยาค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายไปแล้วจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการเงินของครอบครัวเหมือนกัน ส่วนด้านคดีความนั้นคงจะขอยื่นอุทธรณ์ต่อไป
ต่อมาญาติมอบหมายให้ทนายความยื่นประกันตัวนายกัณฑ์พิทักษ์ โดยใช้หลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน ราคาประเมิน 6 ล้านกว่าบาท ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกัน 5 ล้านบาท
ด้านนายแสง (นามสมมติ) สามีของน.ส.สังวาลย์ สีหะวงศ์ อายุ 30 ปีภูมิลำเนา จ.ศรีสะเกษ หนึ่งในเหยื่อผู้บาดเจ็บจากการกระทำของนายกัณฑ์พิทักษ์ กล่าวว่า ภายหลังรอคอยการพิจารณาลงโทษของศาลมานานกว่า 2 ปี ตั้งแต่หลังเกิดเหตุจนวันนี้ ทางครอบครัวรู้สึกพอใจคำตัดสินของศาลในการลงโทษคนทำผิด แต่ไม่รับไม่ได้ในส่วนของค่าเสียหายที่จำเลยชดใช้ให้แก่ผู้ได้รับบาดเจ็บรายละ 8 แสนบาท หากแลกกับความพิการที่ขาข้างขวาของภรรยา เพราะหลังประสบอุบัติเหตุในคืนนั้น ภรรยาต้องออกจากงานต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนาน 6 เดือน
ส่ง“แรมบ้า”กามวิตถารนอนคุก
วันเดียวกัน เวลา 14.00 น. ที่ศาลอาญา ร.ต.อ.นำชัย ยกย่องกุล พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชนและสตรี (ปดส.) พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นายสุรชัย หรือเอ็ม วิวัฒนชาติ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 62/74 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และนางธนวรรณ คล้ายแพร อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53/159 หมู่ที่ 9 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาคดีข่มขืนถ่ายคลิปสาวปริญญาโท มาฝากขังต่อศาลเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค.-10 ก.พ.52 เนื่องจากต้องรอสอบปากคำพยานอีก 6 ปาก รอผลตรวจสอบประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยคำร้องฝากขังสรุปว่า เมื่อวันที่ 16 เม.ย.-20 ส.ค.51 นายสุรชัย และนางธนวรรณ ได้ร่วมกันข่มขืนใจ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และข่มขืนกระทำชำเรา นางสาวเอ๋ (นามสมมติ) อายุ 22 ปี ผู้เสียหาย บริเวณห้องนอนชั้น 2 ของห้างหุ้นส่วนจำกัด อินเตอร์เนชั่นแนลดีเทคทีฟ (ไทยแลนด์) ที่เกิดเหตุ ซึ่งนายสุรชัยใช้เป็นที่พักและสถานที่ทำงานหลายครั้งด้วยกัน โดยใช้อาวุธปืนข่มขู่ผู้เสียหาย และในขณะข่มขืนผู้เสียหายนั้น นายสุรชัยได้บันทึกภาพไว้ในกล้องวิดีโอของคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์ เพื่อใช้บังคับข่มขู่ผู้เสียหาย จึงถูกนาย สุรชัยกระทำชำเรามาโดยตลอด ภายหลังผู้เสียหายหลบหนีมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
ทั้งนี้ นายสุรชัยยังได้ส่งภาพขณะร่วมเพศกับนางธนวรรณ และผู้เสียหาย ไปยังมารดา และเพื่อนของผู้เสียหายให้ได้รับความอับอาย การกระทำของผู้ต้องหาทั้งสองเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 276, 309, 310, 326 และ 328 โดยในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
ท้ายคำร้องระบุด้วยว่า ผู้ต้องหาประกอบอาชีพรับจ้างสืบสวน สะกดรอยติดตามบุคคล มีอาวุธปืนในครอบครองหลายกระบอก หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว อาจไปข่มขู่หรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับผู้เสียหายหวาดกลัวผู้ต้องหา จึงขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา ศาลพิจารณาคำร้องแล้วสอบถามผู้ต้องหาไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
วานนี้ (30 ม.ค.) เวลา 09.30 น. ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 7 (พระโขนง) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ หรือหมูแฮม อายุ 21 ปี บุตรชายนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ กับนางสาวิณี ปะการะนัง อดีตนางสาวไทยปี2527 เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, พยายามฆ่าผู้อื่น และทำร้ายร่างกายผู้อื่นทำให้ได้อันตรายแก่กาย
ตามฟ้องโจทก์บรรยายสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค.50 เวลา 22.50 น. นายกัณฑ์พิทักษ์ ใช้ก้อนหินทุบใบหน้านายสถาพร อรุณศิริ พนักงานขับรถโดยสาร ปรับอากาศ (ปอ.) สาย 513 และขับรถเบนซ์พุ่งชนผู้โดยสารที่ยืนบนทางเท้า และนางสายชล หลวงแสง พนักงานการเงิน ขสมก. เสียชีวิต หลังเกิดเหตุรถเมล์ขับปาดหน้ารถของนายกัณฑ์พิทักษ์ให้หยุดบริเวณหน้าป้อมตำรวจจราจร ที่ปากซอยสุขุมวิท 26 แยกอารีย์ แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม.
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า จากการกระทำของจำเลย ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยมีสติฟั่นเฟือน ที่อ้างว่ามีอาการเกร็งในขณะเกิดเหตุ และตัวเองต้องได้รับการรักษาอาการป่วยจากแพทย์นั้น ศาลเห็นว่าที่จำเลยมีอาการเกร็งเกิดจากความเครียดจากการก่อเหตุเท่านั้น และที่จำเลยอ้างว่าบังคับตัวเองไม่ได้ เพราะมีสภาพจิตแปรปรวน จำเลยไม่มีพยานหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ชัดเจน ซึ่งการกระทำของจำเลยเกิดจากนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ บิดาของจำเลยเลี้ยงดูตามใจ จึงก่อเหตุดังกล่าว จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยพยายามฆ่าลงโทษจำคุก 15 ปี แต่คำให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ประกอบกับจำเลยได้บรรเทาผลร้ายให้แก่ผู้เสียหายจำนวนหลายคน เป็นเงินจำนวนพอสมควร เมื่อคำนึงถึงสุขภาพแห่งจิต จึงมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม ฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยพยายามฆ่า จำคุก 10 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นลงโทษจำคุก 2 เดือน ลดโทษในความผิดฐานดังกล่าวให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 1 เดือน รวมโทษจำคุกจำเลยไว้ 10 ปี 1 เดือน และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายที่ 7 จำนวน 1 แสนบาท ผู้เสียหายที่ 9 จำนวน 8 แสนบาท และให้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ นางทองคำ หลวงแสง มารดาของนางสายชล หลวงแสง ผู้เสียชีวิต จำนวน 2,158,500 บาท โดยให้คำนวณดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ
ภายหลังนายกัณฑ์เอนก กล่าวว่า นายกัณฑ์พิทักษ์ มีความไม่สบายใจ และรู้สึกสำนึกผิดที่ได้กระทำไป ครอบครัวได้เยียวยาค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายไปแล้วจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการเงินของครอบครัวเหมือนกัน ส่วนด้านคดีความนั้นคงจะขอยื่นอุทธรณ์ต่อไป
ต่อมาญาติมอบหมายให้ทนายความยื่นประกันตัวนายกัณฑ์พิทักษ์ โดยใช้หลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน ราคาประเมิน 6 ล้านกว่าบาท ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกัน 5 ล้านบาท
ด้านนายแสง (นามสมมติ) สามีของน.ส.สังวาลย์ สีหะวงศ์ อายุ 30 ปีภูมิลำเนา จ.ศรีสะเกษ หนึ่งในเหยื่อผู้บาดเจ็บจากการกระทำของนายกัณฑ์พิทักษ์ กล่าวว่า ภายหลังรอคอยการพิจารณาลงโทษของศาลมานานกว่า 2 ปี ตั้งแต่หลังเกิดเหตุจนวันนี้ ทางครอบครัวรู้สึกพอใจคำตัดสินของศาลในการลงโทษคนทำผิด แต่ไม่รับไม่ได้ในส่วนของค่าเสียหายที่จำเลยชดใช้ให้แก่ผู้ได้รับบาดเจ็บรายละ 8 แสนบาท หากแลกกับความพิการที่ขาข้างขวาของภรรยา เพราะหลังประสบอุบัติเหตุในคืนนั้น ภรรยาต้องออกจากงานต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนาน 6 เดือน
ส่ง“แรมบ้า”กามวิตถารนอนคุก
วันเดียวกัน เวลา 14.00 น. ที่ศาลอาญา ร.ต.อ.นำชัย ยกย่องกุล พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชนและสตรี (ปดส.) พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นายสุรชัย หรือเอ็ม วิวัฒนชาติ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 62/74 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และนางธนวรรณ คล้ายแพร อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 53/159 หมู่ที่ 9 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาคดีข่มขืนถ่ายคลิปสาวปริญญาโท มาฝากขังต่อศาลเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค.-10 ก.พ.52 เนื่องจากต้องรอสอบปากคำพยานอีก 6 ปาก รอผลตรวจสอบประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยคำร้องฝากขังสรุปว่า เมื่อวันที่ 16 เม.ย.-20 ส.ค.51 นายสุรชัย และนางธนวรรณ ได้ร่วมกันข่มขืนใจ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และข่มขืนกระทำชำเรา นางสาวเอ๋ (นามสมมติ) อายุ 22 ปี ผู้เสียหาย บริเวณห้องนอนชั้น 2 ของห้างหุ้นส่วนจำกัด อินเตอร์เนชั่นแนลดีเทคทีฟ (ไทยแลนด์) ที่เกิดเหตุ ซึ่งนายสุรชัยใช้เป็นที่พักและสถานที่ทำงานหลายครั้งด้วยกัน โดยใช้อาวุธปืนข่มขู่ผู้เสียหาย และในขณะข่มขืนผู้เสียหายนั้น นายสุรชัยได้บันทึกภาพไว้ในกล้องวิดีโอของคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์ เพื่อใช้บังคับข่มขู่ผู้เสียหาย จึงถูกนาย สุรชัยกระทำชำเรามาโดยตลอด ภายหลังผู้เสียหายหลบหนีมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
ทั้งนี้ นายสุรชัยยังได้ส่งภาพขณะร่วมเพศกับนางธนวรรณ และผู้เสียหาย ไปยังมารดา และเพื่อนของผู้เสียหายให้ได้รับความอับอาย การกระทำของผู้ต้องหาทั้งสองเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 276, 309, 310, 326 และ 328 โดยในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
ท้ายคำร้องระบุด้วยว่า ผู้ต้องหาประกอบอาชีพรับจ้างสืบสวน สะกดรอยติดตามบุคคล มีอาวุธปืนในครอบครองหลายกระบอก หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว อาจไปข่มขู่หรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับผู้เสียหายหวาดกลัวผู้ต้องหา จึงขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา ศาลพิจารณาคำร้องแล้วสอบถามผู้ต้องหาไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้