ศาลปกครองสูงสุดยืนตามศาลปกครองกลาง สั่งไทยพาณิชย์ ระงับส่งเงิน "โอ๊ค-เอม" จ่ายเป็นภาษีให้สรรพากร ระบุยกเลิกคำสั่งอาจเสียหายจนยากเยียวยา หากอนาคตศาลปกครอง-ศาลฎีกานักการเมืองตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านทักษิณมีความผิด ด้านเสื้อแดงเข้าลุ้นฟังคำสั่งศาลเต็มห้องพิจารณาคดีก่อนผลักอกสื่อ กล่าวหาลำเอียง
วานนี้ (15 ม.ค.) ศาลปครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลาง ที่กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษา ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของ น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ชินวัตร จำนวน 12,000 ล้านบาทเศษ ที่ถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) อายัดไว้ให้แก่กรมสรรพากร จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ การมีคำสั่งดังกล่าวของศาลปกครองสูงสุด สืบเนื่องจากภายหลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ธนาคารไทยพาณิชย์ฯ ระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของน.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ไว้ก่อน แต่ทางกรมสรรพากรได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด โดยอ้างว่า มาตรา 12 แห่งประมวลกฎหมายรัษฎากร เป็นกฎหมายพิเศษให้อำนาจอธิบดีกรมสรรพากรในการสั่งยึด หรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากร หรือนำส่งภาษีได้ทั่วราชอาณาจักร โดยไม่จำต้องนำคดีขึ้นฟ้องต่อศาล การมีหนังสือแจ้งให้ธนาคารไทยพาณิชย์ฯนำส่งเงิน จึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายในการบังคับชำระหนี้หรือการบังคับคดีกับทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากร
ส่วนคำสั่งของคตส.ที่อายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลในครอบครัวชินวัตร ถือได้ว่าเป็นวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา เพื่อคุ้มครองป้องกันผลประโยชน์ให้ได้รับผลตามคำพิพากษา มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดี ตามคำพิพากษา หรือคำสั่ง กรมสรรพากรย่อมมีอำนาจบังคับชำระหนี้ หรือบังคับคดีได้ตาม มาตรา 12 แห่งประมวลกฎหมายรัษฎากร ประกอบมาตรา 287 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
กรณีจึงไม่มีเหตุอันสมควรที่ศาลจะกำหนดมาตรการ หรือวิธีการใดๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา เพราะการมีคำสั่งดังกล่าว มีผลกระทบต่อการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรที่อยู่ในอำนาจของกรมสรรพากร ทำให้กรมสรรพากรยังไม่ได้รับเงินภาษีอากรที่ค้างชำระไปนำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน และนำไปใช้ประโยชน์ในทางราชการโดยวิธีการงบประมาณของรัฐบาล
สำหรับเหตุผลที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลางระบุว่า ขณะนี้คดียังคงเกี่ยวพันกับการบังคับทรัพย์สินซึ่งคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง และศาลฎีกาฯ หากธนาคารไทยพาณิชย์ฯ จะส่งเงินในบัญชีของ น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ให้แก่กรมสรรพากรแล้วหากภายหลังศาลปกครอง หรือศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น ก็จะทำให้เกิดความเสียหายและมีผลกระทบต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย รวมทั้งจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากต่อการแก้ไขเยียวยาในภายหลัง
ดังนั้น ถ้าหากศาลปกครองจะมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษาแล้ว ก็จะเกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานทางปกครองทั้ง 2 มากกว่า และไม่น่าจะมีอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับการบริหารงานของรัฐ จึงมีเหตุสมควรที่ศาลจะกำหนดมาตรการก่อนการพิพากษาตามคำขอของธนาคารไทยพาณิชย์ฯ
ส่วนที่กรมสรรพากรอุทธรณ์ว่า มีอำนาจบังคับชำระหนี้ หรือการบังคับคดีได้ตามกฎหมาย หากธนาคารไทยพาณิชย์ฯนำส่งเงินตามคำสั่งอายัดของกรมสรรพากรก็ย่อมจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและธนาคารฯไม่ได้อยู่ในฐานะยากลำบากที่จะปฎิบัติตามคำสั่งอายัดแต่อย่างใดนั้น ก็เห็นว่า คตส. มีคำสั่งอายัดเงินบัญชีของน.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 50 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น คำสั่งของ คตส.จึงยังมีผลผูกพันให้ผู้ฟ้องต้องปฎิบัติตาม และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า จนถึงวันที่ฟ้องคดีนี้ก็ยังไม่มีคำสั่งเลิกหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งอายัดของ คตส. ดังนั้นธนาคารไทยพาณิชย์ฯจึงต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่ง คตส.ต่อไป แม้กรมสรรพากรจะมีคำสั่งอายัดอีกตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 แล้วเรียกให้ธนาคารไทยพาณิชย์ฯส่งเงินบัญชี น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ให้ก็ตาม แต่คำสั่งอายัดตามประมวลรัษฎากรดังกล่าวไม่มีผลที่จะยกเลิก เพิกถอน หรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งอายัดของคตส.แต่อย่างใด และการที่ธนาคารฯยังคงเก็บรักษาเงินในบัญชีดังกล่าวไว้ ก็ไม่มีผลกระทบต่อการบังคับชำระหนี้ของกรมสรรพากรในฐานะเจ้าหน้าที่ภาษีอากร อุทธรณ์จึงไม่อาจรับฟังได้ จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการฟังคำสั่งครั้งนี้มีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 80 คน เข้าฟังในห้องพิจารณาคดีจนเต็มห้องพิจารณา บางส่วนต้องยืนและจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคดีนี้ ซึ่งระหว่างนั้นปรากฏว่ามีชายโพกผ้าแดงคนหนึ่ง ยืนด่าทอผู้สื่อข่าวที่กำลังนั่งรอฟังคำสั่งศาล ตำหนิการทำหน้าที่สื่อว่าเอนเอียง กล่าวหาว่ามาแย่งที่นั่ง และไล่ให้ออกไปจากห้อง พร้อมกับผลักหลัง และขู่ว่าจะเผาหัว จนเกิดการโต้เถียงกันกันพักใหญ่ จนเจ้าหน้าที่ศาลต้องเชิญผู้ไม่มีที่นั่งออกจากห้องพิจารณา แต่ชายคนดังกล่าวยังได้ท้าทายผู้สื่อข่าวให้ออกไปต่อยกันนอกห้อง อย่างไรก็ตาม กลุ่มเสื้อแดงบางคนได้เข้ามาห้ามปราม พร้อมกับตำหนิการกระทำของชายโพกผ้าแดง พร้อมกับกล่าวขอโทษผู้สื่อข่าว และให้กำลังใจทำงานต่อไป
บิ๊กSCBยันแบงก์ฐานะแกร่ง
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิตภัณฑ์เงินฝากและการลงทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า ในขณะนี้เงินดังกล่าวยังอยู่ที่ธนาคารเป็นปกติ ซึ่งก็เป็นเหมือนกับเงินฝากทั่วๆ ไป และเม็ดเงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาทนั้นถือว่าไม่ได้เป็นจำนวนที่มากหากเทียบกับฐานเงินฝากที่ธนาคารมีอยู่ประมาณ 9.2 แสนล้านบาท ซึ่งหากจะมีการถอนออกไปก็ไม่ได้กระทบต่อฐานะธนาคารแต่อย่างใด.
วานนี้ (15 ม.ค.) ศาลปครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลาง ที่กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษา ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของ น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ชินวัตร จำนวน 12,000 ล้านบาทเศษ ที่ถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) อายัดไว้ให้แก่กรมสรรพากร จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ การมีคำสั่งดังกล่าวของศาลปกครองสูงสุด สืบเนื่องจากภายหลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ธนาคารไทยพาณิชย์ฯ ระงับการส่งเงินในบัญชีเงินฝากของน.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ไว้ก่อน แต่ทางกรมสรรพากรได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด โดยอ้างว่า มาตรา 12 แห่งประมวลกฎหมายรัษฎากร เป็นกฎหมายพิเศษให้อำนาจอธิบดีกรมสรรพากรในการสั่งยึด หรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากร หรือนำส่งภาษีได้ทั่วราชอาณาจักร โดยไม่จำต้องนำคดีขึ้นฟ้องต่อศาล การมีหนังสือแจ้งให้ธนาคารไทยพาณิชย์ฯนำส่งเงิน จึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายในการบังคับชำระหนี้หรือการบังคับคดีกับทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากร
ส่วนคำสั่งของคตส.ที่อายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลในครอบครัวชินวัตร ถือได้ว่าเป็นวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา เพื่อคุ้มครองป้องกันผลประโยชน์ให้ได้รับผลตามคำพิพากษา มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดี ตามคำพิพากษา หรือคำสั่ง กรมสรรพากรย่อมมีอำนาจบังคับชำระหนี้ หรือบังคับคดีได้ตาม มาตรา 12 แห่งประมวลกฎหมายรัษฎากร ประกอบมาตรา 287 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
กรณีจึงไม่มีเหตุอันสมควรที่ศาลจะกำหนดมาตรการ หรือวิธีการใดๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา เพราะการมีคำสั่งดังกล่าว มีผลกระทบต่อการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรที่อยู่ในอำนาจของกรมสรรพากร ทำให้กรมสรรพากรยังไม่ได้รับเงินภาษีอากรที่ค้างชำระไปนำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน และนำไปใช้ประโยชน์ในทางราชการโดยวิธีการงบประมาณของรัฐบาล
สำหรับเหตุผลที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลางระบุว่า ขณะนี้คดียังคงเกี่ยวพันกับการบังคับทรัพย์สินซึ่งคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง และศาลฎีกาฯ หากธนาคารไทยพาณิชย์ฯ จะส่งเงินในบัญชีของ น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ให้แก่กรมสรรพากรแล้วหากภายหลังศาลปกครอง หรือศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น ก็จะทำให้เกิดความเสียหายและมีผลกระทบต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย รวมทั้งจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากต่อการแก้ไขเยียวยาในภายหลัง
ดังนั้น ถ้าหากศาลปกครองจะมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษาแล้ว ก็จะเกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานทางปกครองทั้ง 2 มากกว่า และไม่น่าจะมีอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับการบริหารงานของรัฐ จึงมีเหตุสมควรที่ศาลจะกำหนดมาตรการก่อนการพิพากษาตามคำขอของธนาคารไทยพาณิชย์ฯ
ส่วนที่กรมสรรพากรอุทธรณ์ว่า มีอำนาจบังคับชำระหนี้ หรือการบังคับคดีได้ตามกฎหมาย หากธนาคารไทยพาณิชย์ฯนำส่งเงินตามคำสั่งอายัดของกรมสรรพากรก็ย่อมจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและธนาคารฯไม่ได้อยู่ในฐานะยากลำบากที่จะปฎิบัติตามคำสั่งอายัดแต่อย่างใดนั้น ก็เห็นว่า คตส. มีคำสั่งอายัดเงินบัญชีของน.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 50 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น คำสั่งของ คตส.จึงยังมีผลผูกพันให้ผู้ฟ้องต้องปฎิบัติตาม และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า จนถึงวันที่ฟ้องคดีนี้ก็ยังไม่มีคำสั่งเลิกหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งอายัดของ คตส. ดังนั้นธนาคารไทยพาณิชย์ฯจึงต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่ง คตส.ต่อไป แม้กรมสรรพากรจะมีคำสั่งอายัดอีกตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 แล้วเรียกให้ธนาคารไทยพาณิชย์ฯส่งเงินบัญชี น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ให้ก็ตาม แต่คำสั่งอายัดตามประมวลรัษฎากรดังกล่าวไม่มีผลที่จะยกเลิก เพิกถอน หรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งอายัดของคตส.แต่อย่างใด และการที่ธนาคารฯยังคงเก็บรักษาเงินในบัญชีดังกล่าวไว้ ก็ไม่มีผลกระทบต่อการบังคับชำระหนี้ของกรมสรรพากรในฐานะเจ้าหน้าที่ภาษีอากร อุทธรณ์จึงไม่อาจรับฟังได้ จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการฟังคำสั่งครั้งนี้มีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 80 คน เข้าฟังในห้องพิจารณาคดีจนเต็มห้องพิจารณา บางส่วนต้องยืนและจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคดีนี้ ซึ่งระหว่างนั้นปรากฏว่ามีชายโพกผ้าแดงคนหนึ่ง ยืนด่าทอผู้สื่อข่าวที่กำลังนั่งรอฟังคำสั่งศาล ตำหนิการทำหน้าที่สื่อว่าเอนเอียง กล่าวหาว่ามาแย่งที่นั่ง และไล่ให้ออกไปจากห้อง พร้อมกับผลักหลัง และขู่ว่าจะเผาหัว จนเกิดการโต้เถียงกันกันพักใหญ่ จนเจ้าหน้าที่ศาลต้องเชิญผู้ไม่มีที่นั่งออกจากห้องพิจารณา แต่ชายคนดังกล่าวยังได้ท้าทายผู้สื่อข่าวให้ออกไปต่อยกันนอกห้อง อย่างไรก็ตาม กลุ่มเสื้อแดงบางคนได้เข้ามาห้ามปราม พร้อมกับตำหนิการกระทำของชายโพกผ้าแดง พร้อมกับกล่าวขอโทษผู้สื่อข่าว และให้กำลังใจทำงานต่อไป
บิ๊กSCBยันแบงก์ฐานะแกร่ง
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายงานผลิตภัณฑ์เงินฝากและการลงทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า ในขณะนี้เงินดังกล่าวยังอยู่ที่ธนาคารเป็นปกติ ซึ่งก็เป็นเหมือนกับเงินฝากทั่วๆ ไป และเม็ดเงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาทนั้นถือว่าไม่ได้เป็นจำนวนที่มากหากเทียบกับฐานเงินฝากที่ธนาคารมีอยู่ประมาณ 9.2 แสนล้านบาท ซึ่งหากจะมีการถอนออกไปก็ไม่ได้กระทบต่อฐานะธนาคารแต่อย่างใด.