“บิ๊กสุ” เชื่อการเมืองหลังมีรัฐบาลใหม่จะดีขึ้น เหตุประชาชนต่างได้เห็นบทเรียนที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาแล้ว พร้อมแนะ “อภิสิทธิ์” สร้างความสามัคคี ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมายอย่างเป็นธรรม มั่นใจว่าประชาชนจะสนับสนุน ขณะเดียวกันเห็นว่า ผบ.ทบ.วางตัวเป็นกลางอย่างเหมาะสมแล้ว ส่วน “ทักษิณ” ควรหยุดเคลื่อนไหว สร้างความวุ่นวาย
พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังเปิดบ้านพักซอยระนอง 2 ให้ข้าราชการทหาร ตำรวจและเพื่อนร่วมรุ่น จปร.5 อวยพรปีใหม่ ถึงสถานการณ์การเมืองว่าหลังมีรัฐบาลใหม่น่าจะดีขึ้น เพราประชาชนต่างเห็นบทเรียนของประเทศชาติที่ได้รับมาแล้ว น่าจะดีขึ้น เพราะประชาชนต่างเห็นบทเรียนของประเทศชาติที่ได้รับมาแล้ว น่าจะมีจิตสำนึก และจิตวิญญาณ มีสติปัญญาที่นึกถึงว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติบ้านเมืองถึงจะดีขึ้น เพราะว่าเศรษฐกิจก็ย่ำแย่ ถ้าเรามีสถานภาพการเมืองที่ไม่มั่นคงจะยิ่งซ้ำร้ายหนักเข้าไปอีก บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่มีสติต่างก็เป็นห่วงว่าจะมีการตกงานว่างงานกันมาก ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญต่อไป ดังนั้นคิดว่านักการเมืองคงคิดได้ว่า จะไม่ทำให้การเมืองย่อยยับยิ่งไปกว่าน
"ดูตามประวัติ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ตั้งใจขึ้นมาเป็นนายกญ ตั้งแต่เด็กๆ ทั้งมีความตั้งใจดี และมีความรู้ความสามารถ เรียนหนังสือเก่ง อยู่ในวงการเมืองมีประสบการณ์ ถึงแม้จะอายุน้อย แต่ก็เล่นการเมืองมาตั้งแต่แรก ก็น่าจะมีประสบการณ์มากด้านการเมือง ถ้าทำอะไรถูกต้องตามตัวบทกฎหมายประชาชนทุกคนจะสนับสนุน ผมขอยืนยันอย่างนั้น"
ส่วนการชุมนุมของ นปช.หรือกลุ่มเสื้อแดงนั้น พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า อยากให้ทุกคนลืมความขัดแย้งและให้อยู่ภายใต้กฎหมายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ใครขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ตามควรจะทำให้กฎหมายเป็นกฎหมายใช้บังคับได้กับทุกคนไม่ใช่ว่าไม่กล้าทำ ถ้ารู้ว่าผิดก็ต้องดำเนินการให้มันถูกต้อง ถ้าทำได้จะทำความยุ่งยากก็จะหมดไป คิดว่าประชาชนทุกคนเอาใจช่วยในการที่รัฐบาลปฏิบัติตามกฎหมาย
สำหรับการชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาเพื่อไม่ให้รัฐบาลแถลงนโยบายนั้น พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า เราต้องทำตามกฎหมายที่ถูกต้อง อะไรที่จำเป็นจะต้องทำ ถึงแม้จะใช้ความรุนแรงก็จำเป็น ถ้าปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อมันจะยิ่งซ้ำร้ายหนักขึ้น ตนไม่เข้าใจเหมือนกันว่ารัฐธรรมนูญให้สิทธิมากน้อยแค่ไหนในการชุมนุม ซึ่งการชุมนุมน่าจะมีขอบเขตไม่กระทบสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า สิ่งแรกที่อยากให้รัฐบาลดำเนินการคือ การสร้างความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้นในประเทศ และแก้ไขเรื่องที่เป็นจุดอ่อนของประเทศ คือเรื่องการคอรัปชั่น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตนใครที่มาเป็นรัฐบาลก็ฝากความหวังไว้ทั้งนั้น และเชียร์ทุกรัฐบาลให้ทำงานได้เต็มที่ เพราะถ้ารัฐบาลทำงานไม่ได้ผล ประชาชนก็แย่ ไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ขออวยพรให้ประสบผลสำเร็จในการทำงาน
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลที่มาจากพรรคร่วมจะมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า ยังมีความจำเป็นอยู่ในระดับหนึ่งคนที่ไม่เคยจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่รู้ว่าลำบากยากเข็ญขนาดไหนในการตั้งรัฐบาลจากหลายพรรคการเมือง รวมถึง มีความยากในการบริหารงานก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าที่ขอให้นักการเมืองทุกคน ทำงานเพื่อชาติ ไม่ได้ทำงานเพื่อพรรคหรือคะแนนเสียงของตนเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่าปัญหาในขณะนี้เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักแพ้จักชนะ พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อเอาชนะกัน ทุกคนก็อยากได้อำนาจ ขึ้นมาเป็นรัฐบาล นี่คือตัวปัญหาสำคัญ ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย ที่เอาบ้านเมืองมาเล่นกัน เพราะพวกนี้เขาคำนึงแต่เพียงว่าชัยชนะของเขาครั้งนี้และชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งขณะนี้ก็มีการแบ่งเป็นสองขั้วสองฝ่ายอย่างชัดเจน
ส่วนการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ควรจะเป็นอย่างไร พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า ตนไม่รู้เรื่องเห็นแต่ข่าว ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเข้ามา ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย ซึ่งโดยหลักการ พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะยุติ
ส่วนในฐานะที่เป็นนายทหารเก่ามองว่าทหารเข้าไปยุ่งกับการเมือง โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ที่ปรากฏเป็นข่าว อยากให้ทหารวางตัวอย่างไร พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า ตนไม่ทราบเบื้องลึก แต่คิดว่าทหารพยายามวางตัวให้เป็นกลางมากที่สุดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะมีความจำเป็น เพราะทหาร หรือ ผบ.ทบ.เป็นคนหนึ่งที่มีพาวเวอร์ โดยตำแหน่งมีพาวเวอร์ทางการเมืองสูง จะได้เห็นว่า นักการเมืองทุกยุคทุกสมัยจะวิ่งเข้าหากันทั้งนั้น จะบอกว่าทหารเข้าไปยุ่งก็คงไม่ถูก เพราะ ผบ.ทบ.จะรู้ตื้นลึกหนาบางทางการเมืองมาก ทุกคนก็จะวิ่งเข้ามา ดังนั้นตนเชื่อมั่นในตัว ผบ.ทบ. เป็นคนที่ตั้งใจ และหวังดีที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติ
ผู้สื่อข่าวถามว่าภาพพจน์ของกองทัพดูไม่ดีเมื่อนักการเมืองวิ่งมาหา พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า เป็นการกล่าวหา ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นมาเป็นรัฐบาล และทำแบบนั้นบ้างก็จะไม่กล่าวหากองทัพ แต่เมื่อตัวเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็กล่าวหาว่าการขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็เพราะทางกองทัพสนับสนุน ทั้งนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าการเมืองไม่วิ่งเข้ามาหา กองทัพก็จะไม่เข้าไปหาทางการเมือง ในลักษณะหนึ่งมีความเป็นที่กองทัพจะต้องวางตัวเป็นกลาง และกองทัพก็พยายามวางตัวเป็นกลางอย่างมากที่สุดแล้ว
พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังเปิดบ้านพักซอยระนอง 2 ให้ข้าราชการทหาร ตำรวจและเพื่อนร่วมรุ่น จปร.5 อวยพรปีใหม่ ถึงสถานการณ์การเมืองว่าหลังมีรัฐบาลใหม่น่าจะดีขึ้น เพราประชาชนต่างเห็นบทเรียนของประเทศชาติที่ได้รับมาแล้ว น่าจะดีขึ้น เพราะประชาชนต่างเห็นบทเรียนของประเทศชาติที่ได้รับมาแล้ว น่าจะมีจิตสำนึก และจิตวิญญาณ มีสติปัญญาที่นึกถึงว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติบ้านเมืองถึงจะดีขึ้น เพราะว่าเศรษฐกิจก็ย่ำแย่ ถ้าเรามีสถานภาพการเมืองที่ไม่มั่นคงจะยิ่งซ้ำร้ายหนักเข้าไปอีก บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่มีสติต่างก็เป็นห่วงว่าจะมีการตกงานว่างงานกันมาก ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญต่อไป ดังนั้นคิดว่านักการเมืองคงคิดได้ว่า จะไม่ทำให้การเมืองย่อยยับยิ่งไปกว่าน
"ดูตามประวัติ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ตั้งใจขึ้นมาเป็นนายกญ ตั้งแต่เด็กๆ ทั้งมีความตั้งใจดี และมีความรู้ความสามารถ เรียนหนังสือเก่ง อยู่ในวงการเมืองมีประสบการณ์ ถึงแม้จะอายุน้อย แต่ก็เล่นการเมืองมาตั้งแต่แรก ก็น่าจะมีประสบการณ์มากด้านการเมือง ถ้าทำอะไรถูกต้องตามตัวบทกฎหมายประชาชนทุกคนจะสนับสนุน ผมขอยืนยันอย่างนั้น"
ส่วนการชุมนุมของ นปช.หรือกลุ่มเสื้อแดงนั้น พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า อยากให้ทุกคนลืมความขัดแย้งและให้อยู่ภายใต้กฎหมายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ใครขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ตามควรจะทำให้กฎหมายเป็นกฎหมายใช้บังคับได้กับทุกคนไม่ใช่ว่าไม่กล้าทำ ถ้ารู้ว่าผิดก็ต้องดำเนินการให้มันถูกต้อง ถ้าทำได้จะทำความยุ่งยากก็จะหมดไป คิดว่าประชาชนทุกคนเอาใจช่วยในการที่รัฐบาลปฏิบัติตามกฎหมาย
สำหรับการชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาเพื่อไม่ให้รัฐบาลแถลงนโยบายนั้น พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า เราต้องทำตามกฎหมายที่ถูกต้อง อะไรที่จำเป็นจะต้องทำ ถึงแม้จะใช้ความรุนแรงก็จำเป็น ถ้าปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อมันจะยิ่งซ้ำร้ายหนักขึ้น ตนไม่เข้าใจเหมือนกันว่ารัฐธรรมนูญให้สิทธิมากน้อยแค่ไหนในการชุมนุม ซึ่งการชุมนุมน่าจะมีขอบเขตไม่กระทบสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า สิ่งแรกที่อยากให้รัฐบาลดำเนินการคือ การสร้างความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้นในประเทศ และแก้ไขเรื่องที่เป็นจุดอ่อนของประเทศ คือเรื่องการคอรัปชั่น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตนใครที่มาเป็นรัฐบาลก็ฝากความหวังไว้ทั้งนั้น และเชียร์ทุกรัฐบาลให้ทำงานได้เต็มที่ เพราะถ้ารัฐบาลทำงานไม่ได้ผล ประชาชนก็แย่ ไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ขออวยพรให้ประสบผลสำเร็จในการทำงาน
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลที่มาจากพรรคร่วมจะมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า ยังมีความจำเป็นอยู่ในระดับหนึ่งคนที่ไม่เคยจัดตั้งรัฐบาล ก็ไม่รู้ว่าลำบากยากเข็ญขนาดไหนในการตั้งรัฐบาลจากหลายพรรคการเมือง รวมถึง มีความยากในการบริหารงานก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าที่ขอให้นักการเมืองทุกคน ทำงานเพื่อชาติ ไม่ได้ทำงานเพื่อพรรคหรือคะแนนเสียงของตนเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่าปัญหาในขณะนี้เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักแพ้จักชนะ พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อเอาชนะกัน ทุกคนก็อยากได้อำนาจ ขึ้นมาเป็นรัฐบาล นี่คือตัวปัญหาสำคัญ ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย ที่เอาบ้านเมืองมาเล่นกัน เพราะพวกนี้เขาคำนึงแต่เพียงว่าชัยชนะของเขาครั้งนี้และชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งขณะนี้ก็มีการแบ่งเป็นสองขั้วสองฝ่ายอย่างชัดเจน
ส่วนการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ควรจะเป็นอย่างไร พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า ตนไม่รู้เรื่องเห็นแต่ข่าว ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเข้ามา ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย ซึ่งโดยหลักการ พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะยุติ
ส่วนในฐานะที่เป็นนายทหารเก่ามองว่าทหารเข้าไปยุ่งกับการเมือง โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ที่ปรากฏเป็นข่าว อยากให้ทหารวางตัวอย่างไร พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า ตนไม่ทราบเบื้องลึก แต่คิดว่าทหารพยายามวางตัวให้เป็นกลางมากที่สุดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะมีความจำเป็น เพราะทหาร หรือ ผบ.ทบ.เป็นคนหนึ่งที่มีพาวเวอร์ โดยตำแหน่งมีพาวเวอร์ทางการเมืองสูง จะได้เห็นว่า นักการเมืองทุกยุคทุกสมัยจะวิ่งเข้าหากันทั้งนั้น จะบอกว่าทหารเข้าไปยุ่งก็คงไม่ถูก เพราะ ผบ.ทบ.จะรู้ตื้นลึกหนาบางทางการเมืองมาก ทุกคนก็จะวิ่งเข้ามา ดังนั้นตนเชื่อมั่นในตัว ผบ.ทบ. เป็นคนที่ตั้งใจ และหวังดีที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติ
ผู้สื่อข่าวถามว่าภาพพจน์ของกองทัพดูไม่ดีเมื่อนักการเมืองวิ่งมาหา พล.อ.สุจินดา กล่าวว่า เป็นการกล่าวหา ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งขึ้นมาเป็นรัฐบาล และทำแบบนั้นบ้างก็จะไม่กล่าวหากองทัพ แต่เมื่อตัวเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็กล่าวหาว่าการขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็เพราะทางกองทัพสนับสนุน ทั้งนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าการเมืองไม่วิ่งเข้ามาหา กองทัพก็จะไม่เข้าไปหาทางการเมือง ในลักษณะหนึ่งมีความเป็นที่กองทัพจะต้องวางตัวเป็นกลาง และกองทัพก็พยายามวางตัวเป็นกลางอย่างมากที่สุดแล้ว