ศูนย์ข่าวศรีราชา- “อัมรินทร์ ยี่เฮง” นักรบศรีวิชัยจากเมืองสระแก้วผู้ถือธงพันธมิตรฯ เข้าปิดยึดอาคาร NBT เปิดใจยอมทิ้งธุรกิจส่วนตัวลงสนามการเมืองภาคประชาชน หวังเห็นชาวบ้านเป็นศูนย์กลางการบริหารบ้านเมืองและประเทศชาติอย่างแท้จริง ลั่นภูมิใจได้ต่อสู้ทรราชและนักการเมืองโกงกิน เผยปัจจุบันหยุดธุรกิจมือถือส่วนตัวไว้ก่อน พร้อมตั้งกล่องบริจาคเงินให้ทำงานการเมืองภาคประชาชนประทังชีวิตไปวันๆ
นายอัมรินทร์ ยี่เฮง เลขาธิการองค์กรประชาธิปไตยภาคประชาชนเมืองสระแก้ว หนึ่งในเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเป็นหนึ่งในนักรบศรีวิชัย ชุดแรก ที่บุกยึดสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 เปิดใจกับ “ASTV ผู้จัดการรายวัน” ถึงรูปแบบชีวิตของตนเองว่า ตั้งแต่ลุยงานด้านการเมืองภาคประชาชนมาอย่างต่อเนื่องจนได้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และทำเนียบรัฐบาล ทำให้อุดมการณ์ในการถือมั่นว่าประชาชนต้องเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศแจ่มชัดขึ้น และทำให้ชีวิตยืนหยัด ในการทำงานเพื่อสังคมและประชาชนมาโดยตลอด
จากการร่วมอุดมการณ์กับพี่น้องพันธมิตรฯทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน ทำให้มีโอกาสได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ถือธงพันธมิตรฯเข้าไปปักในตัวอาคาร NBT จนกระทั่งถูกจับกุมตัวและถูกจองจำอยู่ในเรือนจำเป็นเวลา 15 วัน กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันหลายสิบชีวิต แต่ทว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดความเสียใจเลย แม้แต่น้อยกลับกลายเป็นพลังที่ทวีมากขึ้น ในการต่อสู้กับความไม่ชอบธรรมในสังคมต่อไปได้อีก
ทั้งนี้เรื่องการโดนจับในวันนั้นเกิดขึ้นมาจาก “คนใน” เป็นผู้นำข้อมูลของกลุ่มออกไปข้างนอก จนมีการล่วงรู้ถึงความเป็นไปและทำให้เสียท่า แต่ยังเชื่อมั่นว่า 5 แกนนำจะไม่ทอดทิ้งและเป็นจริง ดังนั้น ทุกคนที่ถูกจับกุมจึงได้รับประกันตัวและถูกปล่อยตัวในที่สุด
นายอัมรินทร์ เผยต่อว่า ในปัจจุบันธุรกิจร้านโทรศัพท์มือถือส่วนตัวเป็นอันต้องปิดกิจการไปโดยไม่มีกำหนด เพราะเมื่อลงมาต่อสู้ภาคประชาชนแล้วต้องเสียสละ แต่ก็นับเป็นความภูมิใจที่ประชาชนคนธรรมดาคนหนึ่งได้มีสิทธิมีเสียงที่จะต่อสู้กับความไม่ชอบมาพากลในสังคม ทำให้คุณค่าของชีวิตมีมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากที่ผ่านมาชีวิตเคยผ่านอะไรต่างๆ มาอย่างมากมายทั้งดีและไม่ดี เคยผ่านชีวิตการคุมบ่อนและธุรกิจมืดนอกกฎหมาย
เมื่อได้มาทำงาน เพื่อสังคมอย่างแท้จริง ก็นับว่าเป็นการใช้ชีวิตที่คุ้มค่า และยังยืนยันว่า จะทำเรื่องการเมืองภาคประชาชนต่อไปแม้จะโดนกลั่นแกล้งต่างๆ นานาจากอิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่นก็ตามแต่
อย่างไรก็ตาม ทุกวันของชีวิตยังคงทำงานเพื่อสังคม จนได้มีการก่อตั้งองค์กรประชาธิปไตยภาคประชาชนเมืองสระแก้วขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ถึงความเจ็บปวด เพราะต้องโดนกลุ่มการเมืองท้องถิ่นคอยเล่นงานอยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อมีการลงพื้นที่ปราศรัยก็โดนชาวบ้านที่ถูกว่าจ้างให้ไปด่าทอ รวมถึงทำร้ายร่างกาย อาคารที่เปิดเป็นสำนักงานองค์กรประชาธิปไตยภาคประชาชนเมืองสระแก้วก็โดนรูปแบบการเมืองท้องถิ่นเล่นงานจนจำเป็นต้องปิดลงไปแล้ว และอื่นๆ ที่มองไม่เห็นอีกมากมาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้อุดมการณ์ส่วนตัวขาดหายไปเลยแม้แต่น้อย
“ว่าไปแล้วเราโดนผลกระทบมาเยอะ เพราะการต่อสู่เพื่อประชาชนไปกระทบผลประโยชน์ของนักการเมืองและกลุ่มอำนาจมากมาย เขาคอยกลั่นแกล้งเราตลอด ในส่วนของสำนักงาน เขาก็บีบให้เจ้าของมาบอกเราว่าอาคารนี้ขายไปแล้วมีคนมาซื้อแล้วเราต้องย้ายไปที่อื่น เราก็ไม่มีสำนักงาน บางครั้งออกพื้นที่พบประชาชนเอาข้อมูลไปนำเสนอก็เจอพวกที่ถูกนักการเมืองจ้างวานมาทำร้ายเรา มาด่าเราเสียๆ หายๆ บางครั้งก็มีคนไปต่อว่าแม่ เราก็ต้องอดทน และก็เป็นความภูมิใจที่เรามีและยืนยันจะทำต่อไปแม้ตอนนี้ไม่มีธุรกิจส่วนตัวรองรับแล้ว” นายอัมรินทร์ ระบุ
นายอัมรินทร์ กล่าวอีกว่า ตอนนี้ก็ได้เดินหน้าทำงานการเมืองภาคประชาชน โดยรายได้ในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันนั้น มาจากพี่น้องผู้รักในอุดมการณ์เดียวกัน จึงต้องมีการวางกล่องรับบริจาคเงินตามสถานที่ต่างๆ และนำเงินส่วนนี้มาใช้จ่ายเพื่อประทังชีวิต ทั้งนี้เมื่อได้เงินทุนของชาวบ้านและพี่น้องประชาชนมาแล้วก็ต้องทำงานเพื่อประชาชนและสังคมอย่างเต็มที่และเต็มความสามารถ ซึ่งจำเป็นต้องทำให้แตกต่างจากข้าราชการโกงกินที่มีภาษีของประชาชนเป็นเงินเดือนแต่ไม่ได้สำเหนียกทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนเลย
ในส่วนของรูปแบบการทำงาน จะเน้นไปในเรื่องของการเมืองท้องถิ่นที่เป็นการเมืองเก่าๆ ที่มีการซื้อเสียงจากประชาชนที่ไม่มีความรู้ ซึ่งจะได้เอาความรู้ต่างๆไปหยิบยื่นให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารมากขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองเหล่านี้ และเชื่อแน่ว่าถ้าประชาชนมีความรู้ด้านการเมืองเพียงพอแล้วรูปแบบการเมืองเก่าๆ ก็จะค่อยๆ จางหายไปในที่สุด
นอกจากนี้ยังมุ่งในเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาฝั่งอรัญประเทศ ที่ปัจจุบันมีการรุกล้ำของชาวกัมพูชาจนคนไทยเองต้องทยอยออกจากพื้นที่ทำกินของตัวเองทั้งที่เป็นแผ่นดินไทย ซึ่งภาครัฐไม่ได้ส่องสายตามาดูแลเลยแม้แต่น้อย ตรงจุดนี้ได้รับข้อมูลมาจากการร่วมชุมนุมพันธมิตรฯ ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการต่อยอดการทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง
นายอัมรินทร์ กล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้ประชาชนหูตาสว่างมากขึ้นที่สำคัญต้องสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้ประชาชน ให้ทุกคนกล้าแสดงตัวออกมาต่อสู้กับสิ่งที่ไม่มีความชอบธรรมในสังคม ซึ่งทางองค์กรประชาธิปไตยภาคประชาชนเมืองสระแก้วหนึ่งในเครือข่ายของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยืนยันที่จะสานต่อการทำงานเพื่อประชาชนต่อไปโดยไม่มีความย่อท้อ ทั้งนี้การทำงานเพื่อประเทศชาติและสังคมจำเป็นต้องมีความเสียสละอย่างมากเฉกเช่น นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ รวมถึงสื่อในเครือ ASTV และผู้จัดการได้เคยประสบมาแล้ว ซึ่งก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้สังคมและสังคมควรให้ความสำคัญถึงผู้ที่เสียสละเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การทำงานในแบบฉบับการต่อสู้เพื่อส่วนรวม ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นความสำเร็จและชัยชนะอย่างเป็นรูปธรรมในเร็ววัน แต่การตระหนักว่าได้ทำงานเพื่อใคร ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความภูมิใจอยู่เสมอ และตรงนี้นี่เองเป็นสิ่งที่องค์กรประชาธิปไตยภาคประชาชนเมืองสระแก้วสัมผัสได้ ซึ่งชีวิตหลังจากนี้ยังไม่ได้มองในส่วนของความเป็นส่วนตัวมากเท่าไรนัก แต่จะมองไปถึงความเชื่อมโยงหลังจากกลุ่มพันธมิตรฯได้ริเริ่มให้องค์ความรู้ในการมีบทบาทของประชาชนก็เป็นสิ่งจำเป็นที่สมควรเกิดขึ้นในสังคมไทย เพราะที่ผ่านมาเรื่องดังกล่าวถูกบิดเบือนในข้อเท็จจริงจนประชาชนบางคนมองแทบไม่เห็น
“การเปิดหูเปิดตาประชาชน ทำให้ชาวบ้านได้กล้าในสิ่งที่เป็นความชอบธรรมมันควรจะมีในประเทศไทยมานานแล้ว ตอนนี้ผมภูมิใจในชัยชนะของพันธมิตรฯแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดมันไป ที่สำคัญคือเราต้องสานงานต่อ เราต้องทำงานไปเรื่อยๆ หยุดไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรระบอบการเมืองเก่าๆ จะกลับมาทรงอำนาจอีก เมื่อเรามีเวลาตรงนี้เราต้องปูพื้นฐานความรู้ให้ประชาชนและสังคม ทำให้ความรู้เหล่านี้เป็นเรื่องที่เข้มแข็ง ซึ่งเราภูมิใจจะทำมันต่อไป หากทุกอย่างดีพอแล้ว ผมค่อยกลับมาดูธุรกิจส่วนตัวใหม่ ส่วนตอนนี้ทำงานการเมืองภาคประชาชนไปก่อน” นายอัมรินทร์ กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมด้วยความภูมิใจ