ASTVผู้จัดการรายวัน - เปิดอีกปม บิ๊ก ร.ฟ.ท.ร้อนรน ต่อสัญญาเซ็นทรัลไม่รอ เลขา ครม.แจ้งมติ ครม.เป็นทางการ เผยแจ้งเซ็นทรัลตั้งแต่ 4 ธ.ค. 51 ให้มาเซ็นสัญญา แต่ ครม.แจ้งมติเป็นทางการวันที่ 8 ธ.ค. "นคร" ขอความเป็นธรรมประธานบอร์ด ร.ฟ.ท.หลังถูกกล่าวหาไม่ทำงานจนต้องเปลี่ยนตัวประธาน มาตรา 13 ยันทำงานตามขั้นตอน
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมเปิดเผยถึงกรณีการที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ลงนามกับกลุ่มเซ็นทรัลเรื่องการต่อสัญญาเช่าที่ดินบริเวณเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว ว่า การเร่งรัดการดำเนินการเพื่อลงนามต่อสัญญาเช่าทรัพย์สินบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมพหลโยธินแก่บริษัท เซ็นทรัล อินเตอร์พัฒนา จำกัด ของกลุ่มเซ็นทรัล เป็นระยะเวลา 20 ปี มูลค่าผลตอบแทน 2.1 หมื่นล้านบาทนั้น ปรากฎว่าได้พบปมข้อสงสัยหลายประเด็น ตั้งแต่การเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมการมาตรา 13 , การเสนอนายสันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งเป็นรมว.คมนาคมในขณะนั้นเพื่อเร่งเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาในวันที่ 2 ธ.ค.51 ให้ทันก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน โดยไม่รอความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ และคณะกรรมการมาตรา 13 ยังไม่ได้ประชุมเพื่อพิจารณาประเด็นที่สำนักงานอัยการสูงสุดให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างสัญญามา เป็นต้น
ยังพบประเด็นข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า สำนักเลขาธิการครม. ได้ทำหนังสือถึงนายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.ลงวันที่ 8 ธ.ค. 2551 แจ้งที่ประชุมครม.วันที่ 2 ธ.ค.2551 ลงมติเห็นชอบการต่อสัญญาเช่าและลงทุนพัฒนาที่ดินระหว่างร.ฟ.ท.กับเซ็นทรัล ตามมาตรา 21 ของพ.ร.บ.ร่วมทุน 2535 โดยให้ร.ฟ.ท.ไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดให้ครบถ้วนก่อนลงนามในสัญญาตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งนางโฉมศรี อารยะศิริ รองเลขาธิการครม.ปฏิบัติราชการแทนเลขาฯครม.เป็นผู้ลงนามแทน ในขณะที่ร.ฟ.ท.ได้ทำหนังสือแจ้งเซ็นทรัลลงวันที่ 4 ธ.ค.2551 ให้มาลงนามกับร.ฟ.ท.ในวันที่ 9 ธ.ค.2551 หลังจากที่บอร์ดร.ฟ.ท.ได้ประชุมรับทราบมติครม.วันที่ 8 ธ.ค. 2551
นายจารึก อนุพงษ์ ประธานคณะกรรมาธิการคมนาคมวุฒิสภากล่าวว่า กรณีการต่อสัญญาเซ็นทรัลของร.ฟ.ท.นั้น คณะกรรมาธิการคมนาคมฯ พบเงื่อนปมข้อสงสัย ในขั้นตอน การดำเนินงานหลายเรื่อง ดังนั้นจึงได้ทำหนังสือประสานไปยังคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล และ คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภาเพื่อตั้งอนุกรรมการร่วมในการตรวจสอบการต่อสัญญาเซ็นทรัลแล้ว โดยเห็นเป็นโครงการใหญ่มีมูลค่าผลตอบแทน 2.1 หมื่นล้านบาท ในระยะเวลา 20 ปี ควรจะต้องมีความโปร่งใส
**"นคร"ขอความเป็นธรรม
นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ รองปลัดกระทรวงคมนาคมในฐานะประธานคณะกรรมการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กล่าวว่า วานนี้ (25 ธ.ค.) นายนคร จันทรศร รองผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. ได้เข้าพบเพื่อขอความเป็นธรรมและแสดงเอกสารประกอบ กรณีมีการเปลี่ยนแปลงประธานคณะกรรมการมาตรา 13 ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ซึ่งนายนครเป็นประธานฯ ในการต่อสัญญาเช่าทรัพย์สินบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมพหลโยธินแก่บริษัท เซ็นทรัล อินเตอร์พัฒนา จำกัด โดยมีการอ้างสาเหตุว่า ประธานคณะกรรมการมาตรา 13 ในขณะนั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่และไม่ให้ความร่วมมือในการเร่งรัดทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี จึงต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้ร.ฟ.ท.ได้รับความเสียหาย ซึ่งตนในฐานะประธานบอร์ด ได้รับเรื่องไว้และหากได้รับความไว้วางใจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมให้บอร์ดร.ฟ.ท.ปฎิบัติหน้าที่ต่อก็จะให้ความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าว
"ตามมารยาทเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่บอร์ดก็ต้องลาออก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับรมว.คมนาคม ซึ่งจะต้องรอรับนโยบายหลังจากที่รัฐบาลได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว หากผมยังคงได้รับความไว้วางใจให้ทำงานในตำแหน่งประธานบอร์ดร.ฟ.ท.ต่อก็ยืนยันที่จะให้ความเป็นธรรมกรณีที่คุณนคร ถูกกล่าวหาว่าไม่ทำงานจึงต้องเปลี่ยนตัวประธานมาตรา 13 การต่อสัญญาเซ็นทรัล นอกจากนี้ในระหว่างนี้ บอร์ดร.ฟ.ท.จะไม่มีการประชุมใดๆ จนกว่าจะได้รับนโยบายที่ชัดเจน"นายถวัลย์รัฐกล่าว
ด้านนคร จันทรศร รองผู้ว่าฯร.ฟ.ท.กล่าวว่า ได้เข้าพบประธานบอร์ดร.ฟ.ท.เนื่องจากได้รับทราบว่ามีการชี้แจงต่อบอร์ดว่าตนในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรา 13 หยุดทำงาน จึงต้องเปลี่ยนตัว จึงต้องชี้แจงข้อเท็จจริงในการทำงานที่ผ่านมาพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากได้รับความเสียหายและหากการประชุมบอร์ดครั้งต่อไป จะต้องมีการรับรองการประชุมเรื่องดังกล่าว ก็จะมีการแก้ไขให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมการมาตรา 13 ได้ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบเมื่อวันที่ 15 ก.ย.51 และอยู่ระหว่างรอการตอบกลับจากอัยการ ซึ่งในระหว่างนั้นวันที่ 21 พ.ย.51 เซ็นทรัลได้หารือกรณีที่ลงนามหลังสัญญาครบกำหนด 18 ธ.ค.51 และได้มีการทำหนังสือประสานเข้ามาแล้วโดยอัยการสูงสุได้แจ้งว่า ตรวจสอบร่างสัญญาเสร็จแล้ว วันที่ 27 พ.ย. 51
ดังนั้นจึงมีการแจ้งว่าจะมีการประชุมคณะกรรมการมาตรา 13 เพื่อนำความเห็นของอัยการสูงสุดที่ตึ้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างสัญญามาพิจารณา แต่ได้รับการประสานจากกรรมการมาตรา 13 ผู้แทนจากสำนักงบประมาณว่า มีคำสั่งให้ทำเรื่องต่อสัญญาเซ็นทรัลเสนอครม.วันที่ 2 ธ.ค.โดยที่กรรมการมาตรา 13 ยังไม่ได้ประชุม ซึ่งในขณะนี้ตนในฐานะประธานมาตรา 13 ยังไม่ได้ลงนามเสนอเรื่องไปยังรมว.คมนาคม ต่อมาวันที่ 3 ธ.ค. ตนถึงทราบเรื่องว่ามีการเปลี่ยนประธานมาตรา 13 ไปตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.51 จึงต้องชี้แจงเพื่อขอความเป็นธรรมต่อประธานบอร์ดร.ฟ.ท.
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมเปิดเผยถึงกรณีการที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ลงนามกับกลุ่มเซ็นทรัลเรื่องการต่อสัญญาเช่าที่ดินบริเวณเซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว ว่า การเร่งรัดการดำเนินการเพื่อลงนามต่อสัญญาเช่าทรัพย์สินบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมพหลโยธินแก่บริษัท เซ็นทรัล อินเตอร์พัฒนา จำกัด ของกลุ่มเซ็นทรัล เป็นระยะเวลา 20 ปี มูลค่าผลตอบแทน 2.1 หมื่นล้านบาทนั้น ปรากฎว่าได้พบปมข้อสงสัยหลายประเด็น ตั้งแต่การเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมการมาตรา 13 , การเสนอนายสันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งเป็นรมว.คมนาคมในขณะนั้นเพื่อเร่งเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาในวันที่ 2 ธ.ค.51 ให้ทันก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน โดยไม่รอความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ และคณะกรรมการมาตรา 13 ยังไม่ได้ประชุมเพื่อพิจารณาประเด็นที่สำนักงานอัยการสูงสุดให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างสัญญามา เป็นต้น
ยังพบประเด็นข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า สำนักเลขาธิการครม. ได้ทำหนังสือถึงนายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.ลงวันที่ 8 ธ.ค. 2551 แจ้งที่ประชุมครม.วันที่ 2 ธ.ค.2551 ลงมติเห็นชอบการต่อสัญญาเช่าและลงทุนพัฒนาที่ดินระหว่างร.ฟ.ท.กับเซ็นทรัล ตามมาตรา 21 ของพ.ร.บ.ร่วมทุน 2535 โดยให้ร.ฟ.ท.ไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดให้ครบถ้วนก่อนลงนามในสัญญาตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งนางโฉมศรี อารยะศิริ รองเลขาธิการครม.ปฏิบัติราชการแทนเลขาฯครม.เป็นผู้ลงนามแทน ในขณะที่ร.ฟ.ท.ได้ทำหนังสือแจ้งเซ็นทรัลลงวันที่ 4 ธ.ค.2551 ให้มาลงนามกับร.ฟ.ท.ในวันที่ 9 ธ.ค.2551 หลังจากที่บอร์ดร.ฟ.ท.ได้ประชุมรับทราบมติครม.วันที่ 8 ธ.ค. 2551
นายจารึก อนุพงษ์ ประธานคณะกรรมาธิการคมนาคมวุฒิสภากล่าวว่า กรณีการต่อสัญญาเซ็นทรัลของร.ฟ.ท.นั้น คณะกรรมาธิการคมนาคมฯ พบเงื่อนปมข้อสงสัย ในขั้นตอน การดำเนินงานหลายเรื่อง ดังนั้นจึงได้ทำหนังสือประสานไปยังคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล และ คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภาเพื่อตั้งอนุกรรมการร่วมในการตรวจสอบการต่อสัญญาเซ็นทรัลแล้ว โดยเห็นเป็นโครงการใหญ่มีมูลค่าผลตอบแทน 2.1 หมื่นล้านบาท ในระยะเวลา 20 ปี ควรจะต้องมีความโปร่งใส
**"นคร"ขอความเป็นธรรม
นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ รองปลัดกระทรวงคมนาคมในฐานะประธานคณะกรรมการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กล่าวว่า วานนี้ (25 ธ.ค.) นายนคร จันทรศร รองผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. ได้เข้าพบเพื่อขอความเป็นธรรมและแสดงเอกสารประกอบ กรณีมีการเปลี่ยนแปลงประธานคณะกรรมการมาตรา 13 ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ซึ่งนายนครเป็นประธานฯ ในการต่อสัญญาเช่าทรัพย์สินบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมพหลโยธินแก่บริษัท เซ็นทรัล อินเตอร์พัฒนา จำกัด โดยมีการอ้างสาเหตุว่า ประธานคณะกรรมการมาตรา 13 ในขณะนั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่และไม่ให้ความร่วมมือในการเร่งรัดทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี จึงต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้ร.ฟ.ท.ได้รับความเสียหาย ซึ่งตนในฐานะประธานบอร์ด ได้รับเรื่องไว้และหากได้รับความไว้วางใจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมให้บอร์ดร.ฟ.ท.ปฎิบัติหน้าที่ต่อก็จะให้ความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าว
"ตามมารยาทเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่บอร์ดก็ต้องลาออก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับรมว.คมนาคม ซึ่งจะต้องรอรับนโยบายหลังจากที่รัฐบาลได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว หากผมยังคงได้รับความไว้วางใจให้ทำงานในตำแหน่งประธานบอร์ดร.ฟ.ท.ต่อก็ยืนยันที่จะให้ความเป็นธรรมกรณีที่คุณนคร ถูกกล่าวหาว่าไม่ทำงานจึงต้องเปลี่ยนตัวประธานมาตรา 13 การต่อสัญญาเซ็นทรัล นอกจากนี้ในระหว่างนี้ บอร์ดร.ฟ.ท.จะไม่มีการประชุมใดๆ จนกว่าจะได้รับนโยบายที่ชัดเจน"นายถวัลย์รัฐกล่าว
ด้านนคร จันทรศร รองผู้ว่าฯร.ฟ.ท.กล่าวว่า ได้เข้าพบประธานบอร์ดร.ฟ.ท.เนื่องจากได้รับทราบว่ามีการชี้แจงต่อบอร์ดว่าตนในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรา 13 หยุดทำงาน จึงต้องเปลี่ยนตัว จึงต้องชี้แจงข้อเท็จจริงในการทำงานที่ผ่านมาพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากได้รับความเสียหายและหากการประชุมบอร์ดครั้งต่อไป จะต้องมีการรับรองการประชุมเรื่องดังกล่าว ก็จะมีการแก้ไขให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมการมาตรา 13 ได้ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบเมื่อวันที่ 15 ก.ย.51 และอยู่ระหว่างรอการตอบกลับจากอัยการ ซึ่งในระหว่างนั้นวันที่ 21 พ.ย.51 เซ็นทรัลได้หารือกรณีที่ลงนามหลังสัญญาครบกำหนด 18 ธ.ค.51 และได้มีการทำหนังสือประสานเข้ามาแล้วโดยอัยการสูงสุได้แจ้งว่า ตรวจสอบร่างสัญญาเสร็จแล้ว วันที่ 27 พ.ย. 51
ดังนั้นจึงมีการแจ้งว่าจะมีการประชุมคณะกรรมการมาตรา 13 เพื่อนำความเห็นของอัยการสูงสุดที่ตึ้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างสัญญามาพิจารณา แต่ได้รับการประสานจากกรรมการมาตรา 13 ผู้แทนจากสำนักงบประมาณว่า มีคำสั่งให้ทำเรื่องต่อสัญญาเซ็นทรัลเสนอครม.วันที่ 2 ธ.ค.โดยที่กรรมการมาตรา 13 ยังไม่ได้ประชุม ซึ่งในขณะนี้ตนในฐานะประธานมาตรา 13 ยังไม่ได้ลงนามเสนอเรื่องไปยังรมว.คมนาคม ต่อมาวันที่ 3 ธ.ค. ตนถึงทราบเรื่องว่ามีการเปลี่ยนประธานมาตรา 13 ไปตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.51 จึงต้องชี้แจงเพื่อขอความเป็นธรรมต่อประธานบอร์ดร.ฟ.ท.