เอเอฟพี -อุตสาหกรรมสินค้าหรูหรา เริ่มถูกกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกแล้ว โดยแม้ในอีกหลายเดือนต่อจากนี้ไป ภาคธุรกิจสินค้าและบริการสำหรับมหาเศรษฐีเหล่านี้จะยังคงสามารถทำกำไรได้สูง แต่ก็มีสัญญาณแล้วว่ายอดขายทั่วโลกเริ่มลดลง, ไม่สามารถดึงราคาให้สูงได้เหมือนเมื่อก่อน, รวมทั้งร้านเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับชั้นเลิศที่เปิดใหม่ก็มีน้อยลงมา
"นี่เป็นวิกฤตร้ายแรงที่สุดของภาคธุรกิจนี้ในรอบหลายสิบปีทีเดียว" แอนนี่ ชีรัค ที่ปรึกษาของอูแลร์ แอร์เม่ส์ เอสเอฟเอซี ซึ่งเป็นบริษัทประกันสินเชื่อชี้
ชาแนล ยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าเลิศหรูรายหนึ่ง ซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปารีส ได้ประกาศเมื่อวันศุกร์(19)ที่ผ่านมาว่า จะยกเลิกโครงการ ชาแนล โมบายล์ อาร์ต เอ็กซิบิชั่น ที่เป็นการตระเวนแสดงงานศิลปะตามร้านต่าง ๆของชาแนลซึ่งอยู่ในเมืองต่าง ๆทั่วโลก และก็ได้จัดแสดงที่ฮ่องกง โตเกียว และนิวยอร์กมาแล้ว อีกทั้งมีกำหนดจะไปจัดที่ลอนดอน มอสโก และปารีส
"สถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้เราต้องตัดสินใจดำเนินการ และตอนนี้เราก็ต้องไปเน้นที่ยุทธศาสตร์การลงทุนของเรา" ชาแนลกล่าว
นักวิเคราะห์จากแบงก์ในปารีสแห่งหนึ่งกล่าวว่า ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ไม่ว่า ริชมอนท์แห่งสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์การ์ติเยร์ และ มองบลังก์ หรือยักษ์ใหญ่ แอลวีเอ็มเอชของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ หลุยส์ วิตตง และ กุชชี่ มียอดขายรวมหายไปถึง 40%
"เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย" เขากล่าว
บุลการีของอิตาลีก็คาดว่า จะมีกำไรลดลงปีนี้ ในขณะที่ ทิฟฟานีของสหรัฐฯก็ออกมาเตือนว่าจะมีการลดจำนวนพนักงาน เพราะว่ายอดขายในไตรมาสสามหดตัวลงอย่างมาก
ในขณะเดียวกันแอลวีเอ็มเอช ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมหรูหราระบุว่า ยอดขายในไตรมาสสามนั้นลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับสองไตรมาสแรกของปีนี้
เจพีมอร์แกนชี้ว่าหลังจากที่ขยายตัวต่อเนื่องกันในอัตราเฉลี่ยมากกว่า 10% ถึงสี่ปีติดกัน ธุรกิจสินค้าแบรนด์เนมเหล่านี้จะมียอดขายดิ่งลงราว 4% ในปี 2009 ขณะที่ดอยช์แบงก์เห็นว่าบางแบรนด์เนมอาจจะมียอดขายตกลงถึง 10-15%
ส่วนนักวิเคราะห์ของโซซิเยเต้เจเนราล ชื่อ เอ็มมานูเอล บรูเลย์ เดส์ วารานเนส ชี้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมหรูหราเหล่านี้ ไม่ได้มีความเท่าเทียมกันไปหมดในทุกประเทศและทุกผลิตภัณฑ์ โดยบางแห่งและบางผลิตภัณฑ์จะแย่หนักหน่อย ขณะที่บางประเทศบางสินค้าจะถูกกระทบไม่แรงนัก
"ตลาดญี่ปุ่น" เขาชี้ "จะได้รับผลกระทบอย่างมากเนื่องจากประเทศกำลังเข้าสู่ภาวชะลอตัวทางเศรษฐกิจ"
ยอดขายของแอลวีเอ็มเอชในญี่ปุ่นดิ่งลง 7% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทต้องลดราคาสินค้าลงมาอย่างมากจากแรงกดดันสองประการ นั่นคือวิกฤตการเงินอันรุนแรง และค่าเงินยูโรที่ดิ่งลง 30% เมื่อเทียบกับเงินเยนในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บริษัทยังประกาศยกเลิกแผนการที่จะร้านวิตตงที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่กรุงโตเกียว
สำหรับในเรื่องผลกระทบต่อสินค้าประเภทต่างๆ บรูเนย์ เด วารานเนสกล่าวว่า นาฬิกาแบรนด์เนมได้รับผลกระทบมากกว่าสินค้าเครื่องหนัง
ยอดส่งออกนาฬิกาของสวิสในเดือนพฤศจิกายนลดลงมากกว่า 15% โดยได้ลดลงมากที่สุดทั้งในตลาดฮ่องกงและสหรัฐฯ
นอกจากนั้นยอดส่งออกแชมเปญราคาแพงของฝรั่งเศสก็ดิ่งลงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯที่หายไปถึง 17%
"บรรดาสินค้าแบรนด์เนมทั้งหลายต่างชะลอแผนการเปิดร้าน รวมทั้งไม่เพิ่มพนักงานใหม่ ปิดร้านบางแห่ง รวมทั้งปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจบางประการด้วย"เขากล่าว
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ก็คือ การลดราคาสินค้า นั่นเพราะจะส่งผลกระทบถึงภาพลักษณ์การเป็นสินค้าชั้นยอดของแบรนด์เนมเหล่านี้
"นี่เป็นวิกฤตร้ายแรงที่สุดของภาคธุรกิจนี้ในรอบหลายสิบปีทีเดียว" แอนนี่ ชีรัค ที่ปรึกษาของอูแลร์ แอร์เม่ส์ เอสเอฟเอซี ซึ่งเป็นบริษัทประกันสินเชื่อชี้
ชาแนล ยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าเลิศหรูรายหนึ่ง ซึ่งตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปารีส ได้ประกาศเมื่อวันศุกร์(19)ที่ผ่านมาว่า จะยกเลิกโครงการ ชาแนล โมบายล์ อาร์ต เอ็กซิบิชั่น ที่เป็นการตระเวนแสดงงานศิลปะตามร้านต่าง ๆของชาแนลซึ่งอยู่ในเมืองต่าง ๆทั่วโลก และก็ได้จัดแสดงที่ฮ่องกง โตเกียว และนิวยอร์กมาแล้ว อีกทั้งมีกำหนดจะไปจัดที่ลอนดอน มอสโก และปารีส
"สถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้เราต้องตัดสินใจดำเนินการ และตอนนี้เราก็ต้องไปเน้นที่ยุทธศาสตร์การลงทุนของเรา" ชาแนลกล่าว
นักวิเคราะห์จากแบงก์ในปารีสแห่งหนึ่งกล่าวว่า ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ไม่ว่า ริชมอนท์แห่งสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์การ์ติเยร์ และ มองบลังก์ หรือยักษ์ใหญ่ แอลวีเอ็มเอชของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ หลุยส์ วิตตง และ กุชชี่ มียอดขายรวมหายไปถึง 40%
"เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย" เขากล่าว
บุลการีของอิตาลีก็คาดว่า จะมีกำไรลดลงปีนี้ ในขณะที่ ทิฟฟานีของสหรัฐฯก็ออกมาเตือนว่าจะมีการลดจำนวนพนักงาน เพราะว่ายอดขายในไตรมาสสามหดตัวลงอย่างมาก
ในขณะเดียวกันแอลวีเอ็มเอช ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมหรูหราระบุว่า ยอดขายในไตรมาสสามนั้นลดลงถึง 50% เมื่อเทียบกับสองไตรมาสแรกของปีนี้
เจพีมอร์แกนชี้ว่าหลังจากที่ขยายตัวต่อเนื่องกันในอัตราเฉลี่ยมากกว่า 10% ถึงสี่ปีติดกัน ธุรกิจสินค้าแบรนด์เนมเหล่านี้จะมียอดขายดิ่งลงราว 4% ในปี 2009 ขณะที่ดอยช์แบงก์เห็นว่าบางแบรนด์เนมอาจจะมียอดขายตกลงถึง 10-15%
ส่วนนักวิเคราะห์ของโซซิเยเต้เจเนราล ชื่อ เอ็มมานูเอล บรูเลย์ เดส์ วารานเนส ชี้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมหรูหราเหล่านี้ ไม่ได้มีความเท่าเทียมกันไปหมดในทุกประเทศและทุกผลิตภัณฑ์ โดยบางแห่งและบางผลิตภัณฑ์จะแย่หนักหน่อย ขณะที่บางประเทศบางสินค้าจะถูกกระทบไม่แรงนัก
"ตลาดญี่ปุ่น" เขาชี้ "จะได้รับผลกระทบอย่างมากเนื่องจากประเทศกำลังเข้าสู่ภาวชะลอตัวทางเศรษฐกิจ"
ยอดขายของแอลวีเอ็มเอชในญี่ปุ่นดิ่งลง 7% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทต้องลดราคาสินค้าลงมาอย่างมากจากแรงกดดันสองประการ นั่นคือวิกฤตการเงินอันรุนแรง และค่าเงินยูโรที่ดิ่งลง 30% เมื่อเทียบกับเงินเยนในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บริษัทยังประกาศยกเลิกแผนการที่จะร้านวิตตงที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่กรุงโตเกียว
สำหรับในเรื่องผลกระทบต่อสินค้าประเภทต่างๆ บรูเนย์ เด วารานเนสกล่าวว่า นาฬิกาแบรนด์เนมได้รับผลกระทบมากกว่าสินค้าเครื่องหนัง
ยอดส่งออกนาฬิกาของสวิสในเดือนพฤศจิกายนลดลงมากกว่า 15% โดยได้ลดลงมากที่สุดทั้งในตลาดฮ่องกงและสหรัฐฯ
นอกจากนั้นยอดส่งออกแชมเปญราคาแพงของฝรั่งเศสก็ดิ่งลงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯที่หายไปถึง 17%
"บรรดาสินค้าแบรนด์เนมทั้งหลายต่างชะลอแผนการเปิดร้าน รวมทั้งไม่เพิ่มพนักงานใหม่ ปิดร้านบางแห่ง รวมทั้งปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจบางประการด้วย"เขากล่าว
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ก็คือ การลดราคาสินค้า นั่นเพราะจะส่งผลกระทบถึงภาพลักษณ์การเป็นสินค้าชั้นยอดของแบรนด์เนมเหล่านี้
