แม้ดูตามหน้าเสื่อ วันนี้พรรคประชาธิปัตย์จะมีแต้มต่อมากกว่าพรรคเพื่อไทย ในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะได้อดีตพรรคร่วมรัฐบาล 4 พรรคผนึกกับกลุ่มเพื่อนเนวินหันมาประกาศสนับสนุนต่อหน้าสื่อมวลชนถึง 2 ครั้งในรอบสัปดาห์
แต่กระนั่นก็ตาม ความพยายามทุกวิถีทางของพรรคเพื่อไทย ภายใต้การกำกับของ "ทักษิณ ชินวัตร" เพื่อสลายขั้วประชาธิปัตย์ให้มาอยู่ฟาก "เพื่อไทย" ด้วยการทำทุกวิถีทางทั้งการเสนอตำแหน่งและเงินให้นักเลือกตั้งทั้งหลาย ทำให้การตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างทุลักทุเล
ในจำนวน 4 พรรคกับ 1 กลุ่มที่ประกาศหนุน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เห็นจะมีก็แต่ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" เท่านั้น ที่ประกาศร่วมหัวชมท้าย พร้อมเป็นทั้งรัฐบาลหากประสบผลสำเร็จ และเป็นฝ่ายค้านหากพ่ายแพ้ต่อเกมของพรรคเพื่อไทย
ส่วนพรรคการเมืองอื่นที่พอจะไว้ใจได้ ยามนี้น่าจะเป็นพรรรคชาติไทย ซึ่งหลังจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบกำลังจะคลอดพรรคใหม่ชื่อ "ชาติไทยพัฒนา" เท่านั้น
เพราะมีแกนนำชื่อ "เสี่ยเติ้ง" บรรหาร ศิลปอาชา กับ"เสธ.หนั่น" พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ได้รับการนับถือในแวดวงการเมืองว่าเป็นผู้มีสัจจะ
พิสูจน์ได้จากการที่ทั้ง 2 เป็นผู้จัดการรัฐบาลมาหลายยุค หลายสมัย และประสพผลสำเร็จมาตลอด ก็เพราะมีสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ล่อกแล่ก เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ทำให้การเจรจาจัดตั้งรัฐบาลได้ประสพผลสำเร็จมาโดยตลอด
ฉะนั้นเมื่อทั้ง 2 ประกาศว่าจะอยู่กับซีกประชาธิปัตย์ โอกานจะพลิกขั้ว เปลี่ยนข้างเป็นไปได้ยาก นอกเสียจากมีเหตุแทรกซ้อนอื่นเข้ามาเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมี "มัชฌิมาธิปไตย" หรือ "ภูมิใจไทย" อีกหนึ่งพรรค ที่พอเชื่อขนมกินได้ เพราะทั้ง "สมศักดิ์ และภริยา"อนงค์วรรณ เทพสุทิน"เจ้าของพรรคตัวจริง ออกมาการันตีกับ"หนุ่มมาร์ค" เองว่าไม่เปลี่ยนใจไปเป็นอื่น
ส่วน "พรรคเพื่อแผ่นดิน" ที่เพิ่งได้หัวหน้าพรรคคนใหมี่ชื่อ "พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก" กับ "พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา" ที่มี "พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร" เป็นหัวเรือใหญ่นั้น ดูเหมือนจะไหลลื้นไปตามอำนาจเงินและตำแหน่งทางการเมือง ที่ถูกเสนอให้
เป็นที่รู้กันว่า "ทักษิณ ชินวัตร"นั้น สั่งแกนนำและสมุนในพรรคเพื่อไทย ให้ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้กลับมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง
ยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่นำมาใช้ไม่ต้องคำนึงถึงรูปแบบ มีทุกวิถีทาง ทั้งข่มขู่ คุกคาม ปลุกปลอบ ใช้เล่ห์เพทุบายสารพัด ที่งัดออกมาใช้ ให้อำนาจพลิกกลับมาให้ได้
จากที่เคยชูคนของพรรคตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องเปลี่ย ยอมให้พรรคเล็กเสนอผู้ที่เหมาะสมมาเป็นผู้นำรัฐบาลได้
ขณะเดียวกันก็ยังส่งซิกให้ "เสนาะ เทียนทอง" เด็กในคาถา "ทักษิณ"คนล่าสุด เปิดเกมเสนอตั้งรัฐบาลเพื่อชาติ เอาทุกพรรคมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล อ้างว่าเพื่อสลายความขัดแย้งในสังคม โดยให้เอาแกนนำพรรคเล็กมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ถือเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่ "ทักษิณ" นำออกมาเล่น
แล้วก็ดูเหมือนว่าได้ผล เพราะทั่ง "ประชา พรหมนอก" และ "เชษฐา ฐานะจาโร" ต่างก็โดดงับเหยื่อ
วาดฝันจะได้ก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายบริหาร
"ประชา" ที่เคยมีท่าทีเอนไปทางประชาธิปัตย์ เจอเยื้อก้อนโตที่ "ทักษิณ"โยนให้ ล่าสุดจึงมีท่าทีเปลี่ยนไปประกาศจะให้พรรคการเมืองที่ได้เสียงอันดับ 1 ซึ่งคือพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลก่อน
เช่นเดียวกับ "เชษฐา ฐานะจาโร" ที่สนับสนุนแนวคิดรัฐบาลเพื่อชาติ และพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่มี ส.ส.ในพรรคเพียง 9 คน
แม้ดูเหมือนจะเป็นการย้อนเส้นทาง "หม่อมคึกฤทธ์ ปราโมช" ในอดีตที่มี ส.ส.แค่หยิบมือเดียวก็เป็นผู้นำรัฐบาลได้ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายอย่างที่คิด
เพราะหัวหน้าพรรคการเมืองเล็กที่จะก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้นั้น ต้องมีทั้ง บุญ วาสนา อำนาจ และบารมี
แต่ทั้ง "ประชา" และ "เชษฐา" ที่ผ่านมายังไม่เคยแสดงให้เห็นว่า มีสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
"บิ๊กเหวี่ยง" ไม่ต้องพูดถึง แม้เป็นหัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา แต่ก็ไม่เคยแม้แต่จะลิ้มรสเก้าอี้รัฐมนตรี
ไม่ต่างอะไรกับ "ประชา พรหมนอก" แม้ได้ดิบได้ดีเป็น รมว.อุตสาหกรรม ในยุครัฐบาล "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" แต่ก็เป็นในลักษณะขัดตาทัพเพราะเกิดการแย่งชิงเก้าอี้กันเองในพรรคเพื่อไทย เลยต้องหันคนที่เป็นผู้ใหญ่รับตำแหน่งแก้ปัญหาเบื้องต้นไปก่อนเท่านั้น
ท่าทีที่กลับไป กลับมา ไม่นิ่ง ของ "ประชา"และ"เชษฐา" จึงไมต่างอะไรกับพวก "ไม้หลักปักเลน" เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้
เพียงเพราะความกระสั่นต์ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่ง่ายอย่างที่คิดทั้งการได้มา และการบริหารประเทศ
ขนาด "หม่อมคึกฤทธิ์" ชั้นเซียนเหยียบเมฆยังอยู่ได้ไม่นาน แถมมีแต่เรื่องวุ่นวาย
ที่สำคัญหาก "ประชา"และ "เชษฐา" เป็นนายกรัฐมนตรีใต้ร่มเงาพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็น "หุ่นเชิด" ให้ "ทักษิณ" และพลพรรค ที่จะจมูกไปไหนมาไหนได้ โดยไม่เป็นตัวของตัวเอง
ผู้นำประเทศแบบนี้จะมีเกียรติและศักดิ์ศรีได้อย่างไร
แต่กระนั่นก็ตาม ความพยายามทุกวิถีทางของพรรคเพื่อไทย ภายใต้การกำกับของ "ทักษิณ ชินวัตร" เพื่อสลายขั้วประชาธิปัตย์ให้มาอยู่ฟาก "เพื่อไทย" ด้วยการทำทุกวิถีทางทั้งการเสนอตำแหน่งและเงินให้นักเลือกตั้งทั้งหลาย ทำให้การตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างทุลักทุเล
ในจำนวน 4 พรรคกับ 1 กลุ่มที่ประกาศหนุน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เห็นจะมีก็แต่ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" เท่านั้น ที่ประกาศร่วมหัวชมท้าย พร้อมเป็นทั้งรัฐบาลหากประสบผลสำเร็จ และเป็นฝ่ายค้านหากพ่ายแพ้ต่อเกมของพรรคเพื่อไทย
ส่วนพรรคการเมืองอื่นที่พอจะไว้ใจได้ ยามนี้น่าจะเป็นพรรรคชาติไทย ซึ่งหลังจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบกำลังจะคลอดพรรคใหม่ชื่อ "ชาติไทยพัฒนา" เท่านั้น
เพราะมีแกนนำชื่อ "เสี่ยเติ้ง" บรรหาร ศิลปอาชา กับ"เสธ.หนั่น" พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ได้รับการนับถือในแวดวงการเมืองว่าเป็นผู้มีสัจจะ
พิสูจน์ได้จากการที่ทั้ง 2 เป็นผู้จัดการรัฐบาลมาหลายยุค หลายสมัย และประสพผลสำเร็จมาตลอด ก็เพราะมีสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ล่อกแล่ก เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ทำให้การเจรจาจัดตั้งรัฐบาลได้ประสพผลสำเร็จมาโดยตลอด
ฉะนั้นเมื่อทั้ง 2 ประกาศว่าจะอยู่กับซีกประชาธิปัตย์ โอกานจะพลิกขั้ว เปลี่ยนข้างเป็นไปได้ยาก นอกเสียจากมีเหตุแทรกซ้อนอื่นเข้ามาเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมี "มัชฌิมาธิปไตย" หรือ "ภูมิใจไทย" อีกหนึ่งพรรค ที่พอเชื่อขนมกินได้ เพราะทั้ง "สมศักดิ์ และภริยา"อนงค์วรรณ เทพสุทิน"เจ้าของพรรคตัวจริง ออกมาการันตีกับ"หนุ่มมาร์ค" เองว่าไม่เปลี่ยนใจไปเป็นอื่น
ส่วน "พรรคเพื่อแผ่นดิน" ที่เพิ่งได้หัวหน้าพรรคคนใหมี่ชื่อ "พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก" กับ "พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา" ที่มี "พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร" เป็นหัวเรือใหญ่นั้น ดูเหมือนจะไหลลื้นไปตามอำนาจเงินและตำแหน่งทางการเมือง ที่ถูกเสนอให้
เป็นที่รู้กันว่า "ทักษิณ ชินวัตร"นั้น สั่งแกนนำและสมุนในพรรคเพื่อไทย ให้ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้กลับมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง
ยุทธศาสตร์ต่างๆ ที่นำมาใช้ไม่ต้องคำนึงถึงรูปแบบ มีทุกวิถีทาง ทั้งข่มขู่ คุกคาม ปลุกปลอบ ใช้เล่ห์เพทุบายสารพัด ที่งัดออกมาใช้ ให้อำนาจพลิกกลับมาให้ได้
จากที่เคยชูคนของพรรคตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องเปลี่ย ยอมให้พรรคเล็กเสนอผู้ที่เหมาะสมมาเป็นผู้นำรัฐบาลได้
ขณะเดียวกันก็ยังส่งซิกให้ "เสนาะ เทียนทอง" เด็กในคาถา "ทักษิณ"คนล่าสุด เปิดเกมเสนอตั้งรัฐบาลเพื่อชาติ เอาทุกพรรคมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล อ้างว่าเพื่อสลายความขัดแย้งในสังคม โดยให้เอาแกนนำพรรคเล็กมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ถือเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่ "ทักษิณ" นำออกมาเล่น
แล้วก็ดูเหมือนว่าได้ผล เพราะทั่ง "ประชา พรหมนอก" และ "เชษฐา ฐานะจาโร" ต่างก็โดดงับเหยื่อ
วาดฝันจะได้ก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดในฝ่ายบริหาร
"ประชา" ที่เคยมีท่าทีเอนไปทางประชาธิปัตย์ เจอเยื้อก้อนโตที่ "ทักษิณ"โยนให้ ล่าสุดจึงมีท่าทีเปลี่ยนไปประกาศจะให้พรรคการเมืองที่ได้เสียงอันดับ 1 ซึ่งคือพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลก่อน
เช่นเดียวกับ "เชษฐา ฐานะจาโร" ที่สนับสนุนแนวคิดรัฐบาลเพื่อชาติ และพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่มี ส.ส.ในพรรคเพียง 9 คน
แม้ดูเหมือนจะเป็นการย้อนเส้นทาง "หม่อมคึกฤทธ์ ปราโมช" ในอดีตที่มี ส.ส.แค่หยิบมือเดียวก็เป็นผู้นำรัฐบาลได้ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายอย่างที่คิด
เพราะหัวหน้าพรรคการเมืองเล็กที่จะก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้นั้น ต้องมีทั้ง บุญ วาสนา อำนาจ และบารมี
แต่ทั้ง "ประชา" และ "เชษฐา" ที่ผ่านมายังไม่เคยแสดงให้เห็นว่า มีสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
"บิ๊กเหวี่ยง" ไม่ต้องพูดถึง แม้เป็นหัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา แต่ก็ไม่เคยแม้แต่จะลิ้มรสเก้าอี้รัฐมนตรี
ไม่ต่างอะไรกับ "ประชา พรหมนอก" แม้ได้ดิบได้ดีเป็น รมว.อุตสาหกรรม ในยุครัฐบาล "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" แต่ก็เป็นในลักษณะขัดตาทัพเพราะเกิดการแย่งชิงเก้าอี้กันเองในพรรคเพื่อไทย เลยต้องหันคนที่เป็นผู้ใหญ่รับตำแหน่งแก้ปัญหาเบื้องต้นไปก่อนเท่านั้น
ท่าทีที่กลับไป กลับมา ไม่นิ่ง ของ "ประชา"และ"เชษฐา" จึงไมต่างอะไรกับพวก "ไม้หลักปักเลน" เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้
เพียงเพราะความกระสั่นต์ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่ง่ายอย่างที่คิดทั้งการได้มา และการบริหารประเทศ
ขนาด "หม่อมคึกฤทธิ์" ชั้นเซียนเหยียบเมฆยังอยู่ได้ไม่นาน แถมมีแต่เรื่องวุ่นวาย
ที่สำคัญหาก "ประชา"และ "เชษฐา" เป็นนายกรัฐมนตรีใต้ร่มเงาพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็น "หุ่นเชิด" ให้ "ทักษิณ" และพลพรรค ที่จะจมูกไปไหนมาไหนได้ โดยไม่เป็นตัวของตัวเอง
ผู้นำประเทศแบบนี้จะมีเกียรติและศักดิ์ศรีได้อย่างไร