เข้าสู่เดือนธันวาคมได้เพียงไม่กี่วัน กลับก่อเกิดปรากฏการณ์สำคัญขึ้นในทุกวัน ให้สมกับเป็นเดือนมหามงคล เริ่มต้นจากย่ำค่ำวันที่ 1 ธันวาคมชาวไทยทั่วประเทศได้ชื่นชมกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่ดวงจันทร์ ดาวศุกร์ และดาวพฤหัสโคจรเข้ามาใกล้กัน และเรียงตัวกันเป็นรูปสองตากับหนึ่งปาก โดยดวงจันทร์รับหน้าที่ทอดตัวครึ่งเสี้ยว เป็นเรียวปากที่แย้มยิ้มให้กับบางสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
โหรมืออาชีพ และมือสมัครเล่นพากันคาดเดาไปต่างๆ นานาว่า พระจันทร์ยิ้มได้ เพราะวิกฤตบ้านเมืองที่ตึงเครียดมายาวนานจะได้คลายตัวลง บ้างว่าพระจันทร์ยิ้มรับเดือนมหามงคล แต่ที่เด็ดที่สุดน่าจะเป็นคำตอบจากเพื่อนพันธมิตรฯ บางท่านที่สนามบินดอนเมืองในเช้าวันรุ่งขึ้น ที่บอกว่า เมื่อคืนวันจันทร์เห็นไหม พระจันทร์ในเครื่องแต่งกายสีเหลืองท่านยิ้ม ก่อนจะยุบ...ยุบพรรครอบสอง ที่ส่งผลให้การเมืองเก่าได้ถูกขจัดปัดเป่าให้พ้นจากผืนแผ่นดินไทยไงล่ะ
เที่ยงของวันที่ 2 ธันวาคม องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้สถานที่ของศาลปกครองในการอ่านคำวินิจฉัยหลังได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคพลังประชาชน ยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย และมติ 8 ต่อ 1 ให้ ยุบพรรคชาติไทย ส่งผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีของไทย ที่เดินทางเข้าเมืองหลวงไม่ได้เป็นเวลาหลายวัน เพราะประชาชนไม่ให้การยอมรับ ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที
ผลจากคำวินิจฉัยดังกล่าว ยังทำให้กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน 37 คน พรรคชาติไทย 43 คน พรรคมัชฌิมาธิปไตย 29 คน ถูกศาลสั่งห้ามเล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ส่งผลทันทีให้ครอบครัวการเมืองอย่างน้อย 2 ตระกูล คือ ศิลปอาชา และเทพสุทิน ต้องสาบสูญจากการเมืองไทยไป ถ้ามองแง่ดี ก็อาจจะหายหน้าอย่างน้อย 5 ปีแล้วหาทางกลับมาใหม่ หรือมองอย่างเลวร้าย ก็อาจจำต้องจากไปนานกว่านั้น หรือสาบสูญเป็นการถาวร เพราะเมื่อถึงเวลา ถ้าทายาทตระกูลศิลปอาชาไม่เติบโตจนเก่งกล้าจริง หรือไม่มีพ่อบรรหารคอยโอบอุ้มชูเหมือนเคย ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะได้กลับมาสู่สนามการเมืองอีกครั้ง
จึงไม่แปลกที่จะได้เห็นภาพคุณบรรหารสั่ง ส.ส.ในพรรคให้แต่งดำ (ทั้งที่เป็นเดือนมหามงคล) เพื่อมาร่วมงานปิดป้าย ปิดประตูตายพรรคชาติไทย และเป็นการปิดฉากพรรคการเมืองเก่าแก่ที่ทำการมายาวนาน 34 ปี เป็นรัฐบาลมาแล้ว 10 ครั้ง เป็นฝ่ายค้านเพียง 4 ครั้ง
ถัดจากปรากฏการณ์ทางการเมือง เข้าสู่ช่วงเย็นวันที่ 2 ธันวาคม น่าจะเป็นช่วงเวลาอันรอคอยของเหล่าทหารรักษาพระองค์ที่จะได้ถวายความจงรักภักดีด้วยการสวนสนามเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช แต่สิ่งที่กลับกลายเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจคนไทยทั้งประเทศ ก็คือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทาน ณ ลานพระราชวังดุสิต พระบรมรูปทรงม้า ระหว่าง ทรงตรวจพลสวนสนามในพิธีถวายสัตย์ปฎิญาณและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2551
ใจความตอนหนึ่ง พ่อหลวงตรัสไว้จับใจยิ่ง ดังได้อัญเชิญมา ณ ที่นี้
“.. คำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่ข้าพเจ้านั้น เป็นสัจวาจาที่มีค่าควรรักษาไว้โดยเคร่งครัด เพราะเป็นสิ่งที่จะคุ้มครองตัวท่านให้มีความเจริญสวัสดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในข้อที่จะรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ของทหารรักษาพระองค์ แท้จริงแล้วการรักษาเกียรติยศ เกียรติศักดิ์เหล่านี้ มิได้หมายถึงการทำตัวให้เรียบร้อยเป็นสง่าสมกับชั้นยศและตำแหน่งหน้าที่เท่านั้น แต่ย่อมหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของทหารให้ถูกต้องสมบูรณ์ พร้อมทั้งการประพฤติปฏิบัติตนดี ให้เป็นที่ศรัทธาเชื่อถือของประชาชนด้วย …
ดังนั้น ทหารรักษาพระองค์ทุกคนไม่ว่าจะประพฤติหรือปฏิบัติการใด จะต้องระมัดระวังกาย ใจให้มั่นคง เที่ยงตรงให้มีความสัตย์สุจริต และความสมัครสมานสามัคคี มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งอดทนและอดกลั้น... ถ้าทุกคนมุ่งใจปฏิบัติดังนี้ ความมีความเจริญก็จะบังเกิดขึ้น ทั้งแก่ตัวท่านและหมู่คณะตลอดจนชาติบ้านเมือง เป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีของทหารรักษาพระองค์อย่างแท้จริงและยั่งยืน ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับทั้งอำนาจแห่งความภักดีโดยบริสุทธิ์ใจต่อชาติบ้านเมือง จงดลบันดาลให้ทหารทุกคนประสบแต่ความสุขความเจริญ และความสวัสดีมีชัยทุกเมื่อไป”
ในวันนั้นจำได้ว่า พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) เป็นผู้นำทูลเกล้าฯ ถวายพานดอกไม้ธูปเทียนแพ และนำถวายสัตย์ปฏิญาณตนและถวายพระพรชัยมงคล เชื่อว่าทหารรักษาพระองค์ในเครื่องแบบทั้งหลายคงจะได้ปลาบปลื้ม ที่ได้ทำหน้าที่อันสำคัญ และได้แสดงความจงรักภักดีต่อหน้าพระพักตร์ ในวโรกาสอันสำคัญ แต่เชื่อว่า ระดับความเข้มข้นในความภาคภูมิใจของนายทหารแต่ละท่านก็คงมีไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่านายทหารคนนั้นๆ ได้ประพฤติตนตามพระราชดำรัสขององค์จอมทัพไทยที่ได้พระราชทานไว้หรือไม่
แต่ที่แน่ๆ ที่เราพอจะรับรู้ได้ คือ มีคนไทยจำนวนหนึ่งที่แม้จะมิได้มีเครื่องแบบทหารประดับยศ มิได้มีเงินเดือนประจำตำแหน่ง ไม่มีกรมกองให้สังกัด แต่กลับใช้พื้นถนนคอนกรีตร้อนๆ กลางกรุงใช้พื้นสนามบินผุๆ ใช้ลานจอดรถแข็งๆ แทนเรือนนอน ใช้เสื้อผ้าชุดที่ใส่ซ้ำๆ เป็นเครื่องห่มกาย เพื่อทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ถวายองค์พ่อหลวง ก่อนถึงวันสำคัญ 5 ธันวามหาราช นั่นคือทำหน้าที่ปกปักษ์สถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มิให้มันผู้ใดมาทำลายหรือหยามหมิ่นได้ และเขาเหล่านี้ ได้ทำหน้าที่จนสำเร็จไปแล้วในบางส่วน โดยอย่างน้อยก็ทำให้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาในปีนี้ไม่แปดเปื้อนเพราะมีครม.ที่มีมลทิน และคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด แฝงตัวเข้าไปร่วมในพระราชพิธีสำคัญของประเทศนั่นเอง ..
โหรมืออาชีพ และมือสมัครเล่นพากันคาดเดาไปต่างๆ นานาว่า พระจันทร์ยิ้มได้ เพราะวิกฤตบ้านเมืองที่ตึงเครียดมายาวนานจะได้คลายตัวลง บ้างว่าพระจันทร์ยิ้มรับเดือนมหามงคล แต่ที่เด็ดที่สุดน่าจะเป็นคำตอบจากเพื่อนพันธมิตรฯ บางท่านที่สนามบินดอนเมืองในเช้าวันรุ่งขึ้น ที่บอกว่า เมื่อคืนวันจันทร์เห็นไหม พระจันทร์ในเครื่องแต่งกายสีเหลืองท่านยิ้ม ก่อนจะยุบ...ยุบพรรครอบสอง ที่ส่งผลให้การเมืองเก่าได้ถูกขจัดปัดเป่าให้พ้นจากผืนแผ่นดินไทยไงล่ะ
เที่ยงของวันที่ 2 ธันวาคม องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้สถานที่ของศาลปกครองในการอ่านคำวินิจฉัยหลังได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคพลังประชาชน ยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย และมติ 8 ต่อ 1 ให้ ยุบพรรคชาติไทย ส่งผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีของไทย ที่เดินทางเข้าเมืองหลวงไม่ได้เป็นเวลาหลายวัน เพราะประชาชนไม่ให้การยอมรับ ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที
ผลจากคำวินิจฉัยดังกล่าว ยังทำให้กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน 37 คน พรรคชาติไทย 43 คน พรรคมัชฌิมาธิปไตย 29 คน ถูกศาลสั่งห้ามเล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ส่งผลทันทีให้ครอบครัวการเมืองอย่างน้อย 2 ตระกูล คือ ศิลปอาชา และเทพสุทิน ต้องสาบสูญจากการเมืองไทยไป ถ้ามองแง่ดี ก็อาจจะหายหน้าอย่างน้อย 5 ปีแล้วหาทางกลับมาใหม่ หรือมองอย่างเลวร้าย ก็อาจจำต้องจากไปนานกว่านั้น หรือสาบสูญเป็นการถาวร เพราะเมื่อถึงเวลา ถ้าทายาทตระกูลศิลปอาชาไม่เติบโตจนเก่งกล้าจริง หรือไม่มีพ่อบรรหารคอยโอบอุ้มชูเหมือนเคย ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะได้กลับมาสู่สนามการเมืองอีกครั้ง
จึงไม่แปลกที่จะได้เห็นภาพคุณบรรหารสั่ง ส.ส.ในพรรคให้แต่งดำ (ทั้งที่เป็นเดือนมหามงคล) เพื่อมาร่วมงานปิดป้าย ปิดประตูตายพรรคชาติไทย และเป็นการปิดฉากพรรคการเมืองเก่าแก่ที่ทำการมายาวนาน 34 ปี เป็นรัฐบาลมาแล้ว 10 ครั้ง เป็นฝ่ายค้านเพียง 4 ครั้ง
ถัดจากปรากฏการณ์ทางการเมือง เข้าสู่ช่วงเย็นวันที่ 2 ธันวาคม น่าจะเป็นช่วงเวลาอันรอคอยของเหล่าทหารรักษาพระองค์ที่จะได้ถวายความจงรักภักดีด้วยการสวนสนามเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช แต่สิ่งที่กลับกลายเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจคนไทยทั้งประเทศ ก็คือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทาน ณ ลานพระราชวังดุสิต พระบรมรูปทรงม้า ระหว่าง ทรงตรวจพลสวนสนามในพิธีถวายสัตย์ปฎิญาณและสวนสนามของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2551
ใจความตอนหนึ่ง พ่อหลวงตรัสไว้จับใจยิ่ง ดังได้อัญเชิญมา ณ ที่นี้
“.. คำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่ข้าพเจ้านั้น เป็นสัจวาจาที่มีค่าควรรักษาไว้โดยเคร่งครัด เพราะเป็นสิ่งที่จะคุ้มครองตัวท่านให้มีความเจริญสวัสดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในข้อที่จะรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ของทหารรักษาพระองค์ แท้จริงแล้วการรักษาเกียรติยศ เกียรติศักดิ์เหล่านี้ มิได้หมายถึงการทำตัวให้เรียบร้อยเป็นสง่าสมกับชั้นยศและตำแหน่งหน้าที่เท่านั้น แต่ย่อมหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของทหารให้ถูกต้องสมบูรณ์ พร้อมทั้งการประพฤติปฏิบัติตนดี ให้เป็นที่ศรัทธาเชื่อถือของประชาชนด้วย …
ดังนั้น ทหารรักษาพระองค์ทุกคนไม่ว่าจะประพฤติหรือปฏิบัติการใด จะต้องระมัดระวังกาย ใจให้มั่นคง เที่ยงตรงให้มีความสัตย์สุจริต และความสมัครสมานสามัคคี มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งอดทนและอดกลั้น... ถ้าทุกคนมุ่งใจปฏิบัติดังนี้ ความมีความเจริญก็จะบังเกิดขึ้น ทั้งแก่ตัวท่านและหมู่คณะตลอดจนชาติบ้านเมือง เป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีของทหารรักษาพระองค์อย่างแท้จริงและยั่งยืน ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับทั้งอำนาจแห่งความภักดีโดยบริสุทธิ์ใจต่อชาติบ้านเมือง จงดลบันดาลให้ทหารทุกคนประสบแต่ความสุขความเจริญ และความสวัสดีมีชัยทุกเมื่อไป”
ในวันนั้นจำได้ว่า พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) เป็นผู้นำทูลเกล้าฯ ถวายพานดอกไม้ธูปเทียนแพ และนำถวายสัตย์ปฏิญาณตนและถวายพระพรชัยมงคล เชื่อว่าทหารรักษาพระองค์ในเครื่องแบบทั้งหลายคงจะได้ปลาบปลื้ม ที่ได้ทำหน้าที่อันสำคัญ และได้แสดงความจงรักภักดีต่อหน้าพระพักตร์ ในวโรกาสอันสำคัญ แต่เชื่อว่า ระดับความเข้มข้นในความภาคภูมิใจของนายทหารแต่ละท่านก็คงมีไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่านายทหารคนนั้นๆ ได้ประพฤติตนตามพระราชดำรัสขององค์จอมทัพไทยที่ได้พระราชทานไว้หรือไม่
แต่ที่แน่ๆ ที่เราพอจะรับรู้ได้ คือ มีคนไทยจำนวนหนึ่งที่แม้จะมิได้มีเครื่องแบบทหารประดับยศ มิได้มีเงินเดือนประจำตำแหน่ง ไม่มีกรมกองให้สังกัด แต่กลับใช้พื้นถนนคอนกรีตร้อนๆ กลางกรุงใช้พื้นสนามบินผุๆ ใช้ลานจอดรถแข็งๆ แทนเรือนนอน ใช้เสื้อผ้าชุดที่ใส่ซ้ำๆ เป็นเครื่องห่มกาย เพื่อทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ถวายองค์พ่อหลวง ก่อนถึงวันสำคัญ 5 ธันวามหาราช นั่นคือทำหน้าที่ปกปักษ์สถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มิให้มันผู้ใดมาทำลายหรือหยามหมิ่นได้ และเขาเหล่านี้ ได้ทำหน้าที่จนสำเร็จไปแล้วในบางส่วน โดยอย่างน้อยก็ทำให้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาในปีนี้ไม่แปดเปื้อนเพราะมีครม.ที่มีมลทิน และคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด แฝงตัวเข้าไปร่วมในพระราชพิธีสำคัญของประเทศนั่นเอง ..