xs
xsm
sm
md
lg

มณฑลพระราชพิธีฯ : กับ ททท.

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้จบสิ้นเรียบร้อยแล้ว ซึ่งวันนี้เป็นหมายกำหนดการวันสุดท้ายในพระราชพิธีอัญเชิญพระสรีรางคารไปประดิษฐานยังสุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ณ อนุสรณ์สถานรังษีวัฒนา

ตลอดระยะเวลาประมาณเกือบ 11 เดือนเต็ม ที่ชาวไทยทุกคนได้ร่วมถวายพระอาลัยแด่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ด้วยการร่วมไว้ทุกข์เมื่อช่วงต้นปี จนมาร่วมไว้ทุกข์อีกครั้งเมื่อประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนจนถึงวันนี้เป็นวันสุดท้าย ตลอดจนร่วมถวายทรัพย์สินเงินทองเพื่อถวายบุญกุศลแด่พระองค์ท่าน ส่งพระดวงวิญญาณพระองค์ท่านสู้สวรรคาลัย

เป็นกรณีที่น่าปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่คนไทยทุกคนที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศต่างร่วมน้อมไว้อาลัย พร้อมถวายดอกไม้จันทน์อย่างพร้อมเพรียงทุกแห่งหน ทั้งที่ศาลาว่าการจังหวัดทุกจังหวัด วัดทั่วทุกแห่งหน ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ตลอดจน สถานที่ราชการ วัดวาอารามไทยในต่างแดน และสถานเอกอัครราชทูตทุกประเทศทั่วโลก

พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ ในครั้งนี้ ได้ถูกรายงานและถ่ายทอดไปทั่วโลก จากสถานีข่าวหลักๆ ของโลก อาทิ ซีเอ็นเอ็น (CNN) บีบีซี (BBC) ซีเอ็นบีซี (CNBC) หรือแม้กระทั่ง สถานีข่าวอัลจาซีร่า (AL JAZEERA) ตลอดจน สื่อสิ่งพิมพ์ก็ตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลกเช่นเดียวกัน

ชื่อเสียงประเทศไทยจากงานพระราชพิธีในครั้งสำคัญนี้ ชาวต่างชาติทั่วทั้งโลกต่างรับรู้รับทราบกันเป็นอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวต่างชาติที่เคยเดินทางมาท่องเที่ยว มาทำงานที่ประเทศไทย ต่างตระหนักดีว่า ความสำคัญของพระราชพิธีเช่นนี้ ต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชาวไทยทุกคน

แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ “ความงดงาม” ของ “ศิลปวัฒนธรรมไทย” ที่มีความสวยสดงดงามอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน “พิธีกรรม” ในระดับ “พระราชพิธี” ต้องวิจิตรพิสดารและอลังการอย่างมาก นอกเหนือไปจากการเตรียมการ กระบวนการขั้นตอน และสถาปัตยกรรมของสถานที่ที่จัดพระราชพิธี ต้องใช้เวลายาวนานที่ตกแต่งให้สวยงามเลอเลิศวิจิตรพิสดาร โดยเฉพาะที่ “มณฑลท้องสนามหลวง”

ชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้เคยเดินทางไปเยี่ยมชม “มณฑลพระราชพิธี” ที่ท้องสนามหลวงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “สวยงามมาก!” และจะกลับมาเดินชมท่องเที่ยวอย่างแน่นอนหลังจากจบพระราชพิธีฯ เรียบร้อยแล้ว

ทางสำนักพระราชวัง กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง น่าจะยังไม่มีการรื้อถอนอย่างทันทีทันใด น่าจะรักษาไว้ซักระยะหนึ่งเพื่อให้ชาวไทยและชาวต่างชาติได้เยี่ยมชมให้ประทับใจมากยิ่งขึ้น

เท่าที่ทราบทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)” ได้ริเริ่มแล้วที่จะจัดโครงการท่องเที่ยวบริเวณมณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง ให้ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและเทศได้เยี่ยมชมกันหลังพระราชพิธีจบสิ้น ซึ่งนับว่าเป็นความคิดที่ดีมาก เนื่องด้วย “มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง” มีความสวยสดงดงามมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากทั่วโลกต่างชื่นชมกับ “พระเมรุ” และ “มณฑลพระราชพิธี” ในช่วงที่เปิดโอกาสให้ชมกันได้

นอกจากนั้น ขณะนี้เข้าสู่ฤดูอากาศเย็นสบาย บรรดาดอกไม้ที่นำมาจากโครงการหลวงที่จาก “ดอยอ่างขาง-ดอยอินทนนท์” ล้วนเป็นดอกไม้เมืองหนาวทั้งสิ้น จึงเป็นโอกาสเหมาะที่เหล่าบรรดาพฤกษชาติและดอกไม้สวยงามทั้งหลายจะได้บานสะพรั่งไปจนถึงเดือนธันวาคม ดีไม่ดีอาจจะถึงเดือนมกราคมก็เป็นได้

“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)” ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานั้น ต้องประสบกับความเหนื่อยยากกับสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา จนลามไปกระทบกลายเป็น “วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ไปเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมาไปจนถึงช่วง 3 เดือนแรกของปี 2009 ซึ่งเป็น “ช่วงไฮซีซั่น (High Season)” ที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่อยู่ในโซนเขตเมืองหนาว ไม่ว่า ชาวฝรั่งตาน้ำข้าว หรือญี่ปุ่น มักจะเดินทางหลบฤดูหนาวมาท่องเที่ยวประเทศไทย

แต่จากปัญหาสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจด้านการเงินขณะนี้ ทำให้สภาพคล่องของการจับจ่ายใช้สอย การบริโภค ต้องลดลงโดยปริยาย ยิ่งการท่องเที่ยวถือว่าเป็นความฟุ่มเฟือย นักท่องเที่ยวจึงต้องตัดทอนค่าใช้จ่ายลง ก็ต้องยอมรับความจริงว่า “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ของไทยเราได้รับผลกระทบมากพอสมควร

อย่างไรก็ตาม ขอชมเชยการท่องเที่ยวฯ ว่า ได้มีการจัด “แคมเปญ-รณรงค์” อย่างไม่ย่อท้อ และไม่เคยหยุดที่จะเร่งโปรโมตการท่องเที่ยวแทบทุกเดือนก็ว่าได้ ทั้งในต่างประเทศและภายในประเทศ

พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า เมื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหดจำนวนลงไม่มาเที่ยวเมืองไทยเหมือนปีก่อนๆ ที่ผ่านมา ททท.ก็รณรงค์ให้ “ไทยเที่ยวไทย” ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวระยะทางใกล้ๆ ประมาณ 150-200 กิโลเมตร ชนิด “เช้าไปเย็นกลับ” หรือ “พัก 1 คืน” หรือเดินทางไกลถึงภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

เป้าหมายสำคัญที่ทาง ททท.เพียรพยายามรณรงค์และกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยกับการท่องเที่ยวนี้ เหตุผลสำคัญก็เพราะว่า “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” นี้ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอุตสาหกรรมอื่นๆ มากมาย ตั้งแต่ระดับเกษตรกรรายย่อยไปจนถึงรายใหญ่ ภัตตาคารร้านค้า แหล่งผลิตภัณฑ์และจำหน่ายของที่ระลึก สถานที่พักทุกระดับชั้น และที่สำคัญที่สุดคือ “แรงงาน-คนงาน” ทั้งหลายที่ต้อง “มีงานทำ!” ถ้า “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ได้รับผลกระทบ แน่นอนที่รายได้ของ “อุตสาหกรรม” ทั้งหมดที่เกี่ยวโยงกันต้องได้รับผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะ “ปัญหาคนว่างงาน-ตกงาน!”

กรณีผลกระทบครบวงจรเชิงลูกโซ่จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยสำคัญที่ “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” ตระหนักและห่วงใยมากที่สุด จึงเพียรพยายามกำหนดและรณรงค์สารพัดโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อมิให้รายได้ต้องขาดหายไปจากอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม ถามว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเราได้รับผลกระทบหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า กระทบอย่างแน่นอน อย่างน้อยภายในปี 2008 นี้ ผลกระทบน่าจะหดตัวลดลงไปต่ำกว่าร้อยละ 30 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น

แต่เรายังโชคดีที่นักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวรัสเซียบวกกับชาวตะวันออกกลาง ยังคงมาท่องเที่ยวบ้านเราอย่างมิได้ขาดหาย เพียงแต่ไม่ได้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงสภาพจำนวนเท่าเดิม เนื่องด้วยกลุ่มประเทศเหล่านี้ ไม่ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจมากมายนัก ดีไม่ดีอาจจะรวยกว่าเดิมด้วยซ้ำ

เท่าที่ทาง ททท.รณรงค์จัดการผนึกกำลังแนวขายรูปแบบใหม่ทั่วทุกภาค ด้วยการจัด “โครงการแพ็กถูก-ดี” กับ “ตลาดคนไทย-ท่องเที่ยวภายในประเทศ” เพื่อเอาเงินคนไทยกันเองทดแทนเงินจากชาวต่างชาติ

ภาคกลาง ด้วยโครงการจัดกลางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ประมาณ 25 จังหวัด บวกกับชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกอีก 4 จังหวัด อาทิ “ท่องเที่ยวแบบถวิลหาอดีต” กับตลาดน้ำ ตลาดโบราณ วิถีชีวิตชุมชน วัดวาอาราม หรือ “ 10 ตลาดเบญจบูรพาสุวรรณภูมิ” ราชบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อยุธยา เป็นต้น

ตลอดจน ท่องเที่ยวชายทะเลตะวันออก เล่นกอล์ฟและสปา กับ “การผจญภัย” ที่อุทยานแห่งชาติต่างๆ รอบๆ บริเวณพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แก่งกระจาน

ส่วนภาคอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน อาทิ ภาคใต้ จัดให้มีโครงการ “น้ำพุร้อนน้ำแร่” ตั้งแต่ระนองไปจนถึงจังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราช ที่เป็นลักษณะ “กลุ่มคลัสเตอร์” ใกล้เคียงกัน โดยนักท่องเที่ยวสามารถไปได้ภายในสุดสัปดาห์เท่านั้น

ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เช่นเดียวกัน ที่จัดโครงการท่องเที่ยวเชิงอารยธรรมและอนุรักษ์ธรรมชาติ ที่เชียงใหม่จัดงาน “ราชพฤกษ์รวมใจภักดิ์รักพ่อหลวง” ที่สวนราชพฤกษ์ ตลอดจนการท่องเที่ยวแบบ “ธรรมชาติ-ผจญภัย” ที่เชียงใหม่หรือพิษณุโลก ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป ด้วยการ “พักฟรี 1 คืน”

ทั้งหลายทั้งปวงของสารพัด “ไอเดีย-โครงการ” ที่ ททท.เพียรพยายามกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของเม็ดเงินให้กระจัดกระจายกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อก่อให้เกิดรายได้กับทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมนี้

ถ้าสนใจเพิ่มเติม เราสามารถโทร.ได้ที่ Call Center 1672 ได้ตลอดเวลา

แต่ที่น่าประทับใจคือ การจัดโครงการเยี่ยมชม “มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง” ให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติได้เยี่ยมชมด้วยความประทับใจ!
กำลังโหลดความคิดเห็น