เซ็นทารา สยายปีก รุกธุรกิจรับบริหารโรงแรม ลดความเสี่ยง ตั้งเป้าโกยรายได้จากการรับบริหารแตะ 35% ใน 2 ปี ระบุตลาดลูกค้าโรงแรมระดับกลาง 3-4 ดาว โตรับภาวะเศรษฐกิจตก เล็งปั้นแบรนด์ใหม่ เจาะตลาดระดับกลาง พร้อมอัดงบ 7 พันล้านบาท ลงทุนปีหน้า ดันเป้ารายได้โต 12% ด้าร กลุ่มดุสิต เร่งเสริมบริการ ประคองตลาดในยุโรป
นายเกิร์ด สตีบ กรรมการผู้จัดการใหญ่ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เปิดเผยว่า ทางโรงแรมได้ขยายธุรกิจสู่การรับริหารโรงแรม ทั้งโรงแรมระดับ 4-5 ดาว และ โรงแรมระดับกลาง หรือ 3 ดาว เป็นครั้งแรก เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว และไม่เกิดความเสี่ยง ชูจุดเด่นเรื่องบริการที่เหนือเชนโรงแรมกลุ่มอื่น คือ บริการรับเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน ตลอดจนติดต่อประสานงานกับสถาบันการเงินเพื่อขอสินเชื่อ ล่าสุดอยู่ระหว่างการตั้งชื่อแบรนด์ ที่จะมาใช้สำหรับบริหารโรงแรมระดับกลาง จากปัจจุบัน เซ็นทารามี 4 แบรนด์ ใน 2 ระดับคือ 4-5 ดาว ได้แก่ เซ็นทาราแกรนด์ ,เซ็นทาราโฮเทล ,เซ็นทารา วิลล่า และ เซ็นทาราเซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์
“ เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ทุกภาคธุรกิจรวมถึง ท่องเที่ยวต่างชะลอตัวไปในทิศทางเดียวกัน คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี กว่าสถานการณ์กลับสู่ปกติ ดังนั้นการรับบริหาร จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตเร็ว ไม่กระทบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นและ มีความเสี่ยงน้อย ส่วนการลงมาจับตลาดโรงแรมระดับกลาง เพราะปัญหาหลักของผู้ประกอบการกลุ่มนี้คือ แหล่งเงินกู้ เพราะ สถาบันการเงินจะเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่ เราจะใช้ชื่อเสียงของ เซ็นทรัลกรุ๊ป และ กลุ่มโรงแรมเซนทารา ช่วยการันตีให้”
ทั้งนี้เครือเซนทารา ตั้งเป้ามีรายได้จากการรับบริหารโรงแรมภายใน 2 ปีนับจากนี้ไว้ที่สัดส่วน 35% จาก 8 โรงแรม อีก 65% ยังเป็นรายได้จากการเป็นเจ้าของโรงแรม เน้นขยายงานออกไปรับบริหารโรงแรมในต่างประเทศ นำร่อง ร่วมลงทุนและรับบริหารโรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ ไอซ์แลนด์ รีสอร์ต แอนด์ สปา ที่เกาะมัลดีฟ และ จะขยายไปที่ อินเดีย และ ตะวันออกกกลาง ซึ่งขณะนี้เจรจากับโรงแรมในดูไบ โดยรายได้รวมของเซ็นทาราใน 5 ปี จากนี้ไป 60% มาจากต่างประเทศและ 40% เป็นในประเทศ
***ใช้วิกฤตขยายฐานตลาด 3 ดาว***
ยอมรับว่า วิกฤตการเงินในสหรัฐที่ลุกลามไปในหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลกระทบแก่ธุรกิจโรงแรมด้วย แต่ทั้งนี้ยังมั่นใจว่า ผู้คนยังคงเดินทางท่องเที่ยว และติดต่อธุรกิจ แต่จะลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของโรงแรมที่พัก และ ค่าพาหนะ เห็นได้จาก ธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำที่เติบโตดี ดังนั้นในส่วนของโรงแรมมีความเป็นไปได้ ที่นักท่องเที่ยว จะปรับลดจากที่เคยพัก ระดับ 4-5 ดาว ลงมาอยู่ที่ 3-4 ดาว เช่นกัน ทางโรงแรมจึงเห็นดีมานด์ของลูกค้าตลาดโรงแรม ระดับ 3-4 ดาว พร้อมโอกาสที่จะขยายแบรนด์ของเซ็นทารา
การรับบริหารโรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้แบรนด์เซนทาราจะทำ ในรูปแบบ ร่วมลงทุนและบริหาร หรือ รับบริหารเพียงอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับข้อตกลง ในประเทศเน้นลงทุนในที่ดินที่มีอยู่ เช่น เกาะลันตา ระยอง หัวหิน ล่าสุด ตัดสินใจลงทุนที่เกาะลันตา ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ เริ่มก่อสร้างปีหน้า
“ขณะนี้มีโรงแรมที่เซ็นสัญญาให้เซ็นทารา เข้าไปบริหารแล้ว 2 แห่ง คือ เซ็นทาราลานดารา เกาะสมุย และ เซ็นทารารีสอร์ท ปราณบุรี ส่วนในต่างประเทศ ได้ร่วมลงทุนและรับบริหารโรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ ไอซ์แลนด์ รีสอร์ต แอนด์ สปา ที่เกาะมัลดีฟ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ปีหน้า และอยู่ระหว่างเจรจากับโรงแรมที่ดูไบด้วย ปัจจุบัน เซ็นทารามีโรงแรมทั้งหมด 18 แห่งกระจายในกรุงเทพและเมืองเศรษฐกิจท่องเที่ยว ในที่นี้เป็นโรงแรมที่รับบริหาร 2 แห่ง ดังกล่าวข้างต้น แผน 5 ปี ภายในปี 2553 ตั้งเป้ามีโรงแรมทั้งของตัวเองและที่รับบริหารรวม 25 แห่ง แต่มีความเป็นไปได้ที่จะได้มากกว่านั้น “
****ทุ่ม 7 พันลบ.ลงทุนปีหน้า***
นาย สตีบ กล่าวว่า กลยุทธ์ปีหน้า เน้นเพิ่มอินเซนทีฟแก่ตัวแทนจำหน่าย เพื่อจูงใจ แต่จะไม่ปรับลดราคาห้องพัก เพราะจะเสียโครงสร้างราคา ซึ่งไฮซีซั่นปีนี้ เซ็นทาราก็ยังขายห้องพักในราคาไฮซีซั่น ขึ้นอยู่กับโลเกชั่นและ ระดับแบรนด์ เช่น ภูเก็ต ขายเฉลี่ย 3,000 บาท ต่อคืน ,กระบี่ ขายเฉลี่ย 8,000 บาทต่อคือ และ สมุย/หัวหิน ขายเฉลี่ย 7,000 บาทต่อคือ โดยทุกโลเกชั่น มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 80-90% ทำให้คาดว่าผลประกอบการปีนี้ของเซ็นทารากรุ๊ป จะเติบโต 14% ตามเป้าหมาย จากปีก่อนมีรายได้ที่ 3,500 ล้านบาท และปี 2552 ตั้งเป้าเติบโต 12% ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผน ปีหน้า จะมีโรงแรมที่ลงทุนสร้างเองอีก 2 แห่ง ใช้งบรวม 7,000 ล้านบาท
****ดุสิตพัฒนาแบรนด์รักษาตลาด****
ทางด้านนายนายออคตาวิโอ กามาร์รา รองประธานอาวุโส เครือโรงแรมดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า วิกฤตการเงินในสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อประเทศยุโรปและอังกฤษ ซึ่งเป็นตลาดหลักของเครือโรงแรมดุสิต ดังนั้นทางโรงแรมจึงได้พัฒนาสินค้าให้แบรนด์ดุสิตมีความโดดเด่นยิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มบริการและโปรโมชั่น นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดตัว โรงแรมดุสิตธานี เลควิว ไคโร ประเทศอียิปต์ อย่างเป็นทางการ 1 ม.ค. 52 โดยโรงแรมดังกล่าวเป็นโรงแรมแห่งแรกในเครือ ที่ไปเปิดให้บริการในทวีปแอฟริกาเน้นเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป ที่เดินทางมาจาก ปารีส มิวนิก และแฟรงค์เฟิร์ท คาดว่าจะได้รับการตอบรับดี อย่างไรก็ตามตลาดอังกฤษและประเทศอื่นในยุโรป มีอัตราการสำรองห้องพักโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิต สูงถึง 40% จองยอดรวม แบ่งเป็นลูกค้าตลาดอังกฤษ 11% และประเทศอื่นในยุโรป 29% สร้างรายได้ให้กับเครือดุสิต 45% ของรายได้รวม
นายเกิร์ด สตีบ กรรมการผู้จัดการใหญ่ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เปิดเผยว่า ทางโรงแรมได้ขยายธุรกิจสู่การรับริหารโรงแรม ทั้งโรงแรมระดับ 4-5 ดาว และ โรงแรมระดับกลาง หรือ 3 ดาว เป็นครั้งแรก เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว และไม่เกิดความเสี่ยง ชูจุดเด่นเรื่องบริการที่เหนือเชนโรงแรมกลุ่มอื่น คือ บริการรับเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินและการลงทุน ตลอดจนติดต่อประสานงานกับสถาบันการเงินเพื่อขอสินเชื่อ ล่าสุดอยู่ระหว่างการตั้งชื่อแบรนด์ ที่จะมาใช้สำหรับบริหารโรงแรมระดับกลาง จากปัจจุบัน เซ็นทารามี 4 แบรนด์ ใน 2 ระดับคือ 4-5 ดาว ได้แก่ เซ็นทาราแกรนด์ ,เซ็นทาราโฮเทล ,เซ็นทารา วิลล่า และ เซ็นทาราเซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์
“ เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ทุกภาคธุรกิจรวมถึง ท่องเที่ยวต่างชะลอตัวไปในทิศทางเดียวกัน คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี กว่าสถานการณ์กลับสู่ปกติ ดังนั้นการรับบริหาร จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตเร็ว ไม่กระทบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นและ มีความเสี่ยงน้อย ส่วนการลงมาจับตลาดโรงแรมระดับกลาง เพราะปัญหาหลักของผู้ประกอบการกลุ่มนี้คือ แหล่งเงินกู้ เพราะ สถาบันการเงินจะเข้มงวดเรื่องการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่ เราจะใช้ชื่อเสียงของ เซ็นทรัลกรุ๊ป และ กลุ่มโรงแรมเซนทารา ช่วยการันตีให้”
ทั้งนี้เครือเซนทารา ตั้งเป้ามีรายได้จากการรับบริหารโรงแรมภายใน 2 ปีนับจากนี้ไว้ที่สัดส่วน 35% จาก 8 โรงแรม อีก 65% ยังเป็นรายได้จากการเป็นเจ้าของโรงแรม เน้นขยายงานออกไปรับบริหารโรงแรมในต่างประเทศ นำร่อง ร่วมลงทุนและรับบริหารโรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ ไอซ์แลนด์ รีสอร์ต แอนด์ สปา ที่เกาะมัลดีฟ และ จะขยายไปที่ อินเดีย และ ตะวันออกกกลาง ซึ่งขณะนี้เจรจากับโรงแรมในดูไบ โดยรายได้รวมของเซ็นทาราใน 5 ปี จากนี้ไป 60% มาจากต่างประเทศและ 40% เป็นในประเทศ
***ใช้วิกฤตขยายฐานตลาด 3 ดาว***
ยอมรับว่า วิกฤตการเงินในสหรัฐที่ลุกลามไปในหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลกระทบแก่ธุรกิจโรงแรมด้วย แต่ทั้งนี้ยังมั่นใจว่า ผู้คนยังคงเดินทางท่องเที่ยว และติดต่อธุรกิจ แต่จะลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของโรงแรมที่พัก และ ค่าพาหนะ เห็นได้จาก ธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำที่เติบโตดี ดังนั้นในส่วนของโรงแรมมีความเป็นไปได้ ที่นักท่องเที่ยว จะปรับลดจากที่เคยพัก ระดับ 4-5 ดาว ลงมาอยู่ที่ 3-4 ดาว เช่นกัน ทางโรงแรมจึงเห็นดีมานด์ของลูกค้าตลาดโรงแรม ระดับ 3-4 ดาว พร้อมโอกาสที่จะขยายแบรนด์ของเซ็นทารา
การรับบริหารโรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้แบรนด์เซนทาราจะทำ ในรูปแบบ ร่วมลงทุนและบริหาร หรือ รับบริหารเพียงอย่างเดียว ขึ้นอยู่กับข้อตกลง ในประเทศเน้นลงทุนในที่ดินที่มีอยู่ เช่น เกาะลันตา ระยอง หัวหิน ล่าสุด ตัดสินใจลงทุนที่เกาะลันตา ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ เริ่มก่อสร้างปีหน้า
“ขณะนี้มีโรงแรมที่เซ็นสัญญาให้เซ็นทารา เข้าไปบริหารแล้ว 2 แห่ง คือ เซ็นทาราลานดารา เกาะสมุย และ เซ็นทารารีสอร์ท ปราณบุรี ส่วนในต่างประเทศ ได้ร่วมลงทุนและรับบริหารโรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ ไอซ์แลนด์ รีสอร์ต แอนด์ สปา ที่เกาะมัลดีฟ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ปีหน้า และอยู่ระหว่างเจรจากับโรงแรมที่ดูไบด้วย ปัจจุบัน เซ็นทารามีโรงแรมทั้งหมด 18 แห่งกระจายในกรุงเทพและเมืองเศรษฐกิจท่องเที่ยว ในที่นี้เป็นโรงแรมที่รับบริหาร 2 แห่ง ดังกล่าวข้างต้น แผน 5 ปี ภายในปี 2553 ตั้งเป้ามีโรงแรมทั้งของตัวเองและที่รับบริหารรวม 25 แห่ง แต่มีความเป็นไปได้ที่จะได้มากกว่านั้น “
****ทุ่ม 7 พันลบ.ลงทุนปีหน้า***
นาย สตีบ กล่าวว่า กลยุทธ์ปีหน้า เน้นเพิ่มอินเซนทีฟแก่ตัวแทนจำหน่าย เพื่อจูงใจ แต่จะไม่ปรับลดราคาห้องพัก เพราะจะเสียโครงสร้างราคา ซึ่งไฮซีซั่นปีนี้ เซ็นทาราก็ยังขายห้องพักในราคาไฮซีซั่น ขึ้นอยู่กับโลเกชั่นและ ระดับแบรนด์ เช่น ภูเก็ต ขายเฉลี่ย 3,000 บาท ต่อคืน ,กระบี่ ขายเฉลี่ย 8,000 บาทต่อคือ และ สมุย/หัวหิน ขายเฉลี่ย 7,000 บาทต่อคือ โดยทุกโลเกชั่น มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 80-90% ทำให้คาดว่าผลประกอบการปีนี้ของเซ็นทารากรุ๊ป จะเติบโต 14% ตามเป้าหมาย จากปีก่อนมีรายได้ที่ 3,500 ล้านบาท และปี 2552 ตั้งเป้าเติบโต 12% ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผน ปีหน้า จะมีโรงแรมที่ลงทุนสร้างเองอีก 2 แห่ง ใช้งบรวม 7,000 ล้านบาท
****ดุสิตพัฒนาแบรนด์รักษาตลาด****
ทางด้านนายนายออคตาวิโอ กามาร์รา รองประธานอาวุโส เครือโรงแรมดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า วิกฤตการเงินในสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อประเทศยุโรปและอังกฤษ ซึ่งเป็นตลาดหลักของเครือโรงแรมดุสิต ดังนั้นทางโรงแรมจึงได้พัฒนาสินค้าให้แบรนด์ดุสิตมีความโดดเด่นยิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มบริการและโปรโมชั่น นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดตัว โรงแรมดุสิตธานี เลควิว ไคโร ประเทศอียิปต์ อย่างเป็นทางการ 1 ม.ค. 52 โดยโรงแรมดังกล่าวเป็นโรงแรมแห่งแรกในเครือ ที่ไปเปิดให้บริการในทวีปแอฟริกาเน้นเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป ที่เดินทางมาจาก ปารีส มิวนิก และแฟรงค์เฟิร์ท คาดว่าจะได้รับการตอบรับดี อย่างไรก็ตามตลาดอังกฤษและประเทศอื่นในยุโรป มีอัตราการสำรองห้องพักโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิต สูงถึง 40% จองยอดรวม แบ่งเป็นลูกค้าตลาดอังกฤษ 11% และประเทศอื่นในยุโรป 29% สร้างรายได้ให้กับเครือดุสิต 45% ของรายได้รวม