ออฟฟิศดีโป สวมบทรุกปีหน้าหวังเพิ่มแชร์ในตลาดรวม ลั่นขยายตลาดช่องทางไดเร็คเซลส์มากขึ้น ตั้งเป้าสัดส่วน 25% เทงบ 80 ล้านบาทลุยลงทุน-ตลาดครบเครื่อง
นายณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออฟฟิศ คลับ (ไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านออฟฟิศ ดีโป เครือเซ็นทรัลกรุ๊ป กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทฯมีแผนลงทุนและทำตลาดเชิงรุกสำหรับออฟฟิศดีโป หลังจากที่ปีนี้ได้ปรับระบบต่างๆเรียบร้อยแล้วหลังควบรวมกิจการกับทางแม็คโครออฟฟิศเซ็นเตอร์เมื่อต้นปีนี้ ทำให้บริษัทฯมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
"อีกปัจจัยที่ทำให้เรารุกหนักเพราะการได้รับสนับสนุนจากทางออฟฟิศดีโปอินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทแม่ที่อเมริกา ที่พยายามจะสร้างความแข็งแกร่งตลาดนอกประเทศหลังจากที่ตลาดในอเมริกาประสบกับวิกฤติการทางการเงินส่งผลกระทบต่อธุรกิจไปทั่ว บริษัทแม่สนับสนุนด้านโนว์ฮาว์ไดเร็คเซลส์ ด้านไอที และระบบงานต่างๆรวมทั้งการสนับสนุนด้านสินค้าด้วย โดยมีศูนย์กลางที่จีนเป็นเอาท์ซอร์สซิ่งให้"
ตลาดรวมของออฟฟิศซัปพลายนั้นมีประมาณ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดช่องทางประเภทเทรดดิชันแนลเทรด 60% และช่องทางโมเดิร์นเทรด 40% ซึ่งตลาดรวมโตประมาณ 10% แต่ปีนี้คาดว่าโตน้อยประมาณ 7% เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งปีหน้าเราก็กังวลเหมือนกันจึงต้องทำตลาดเชิงรุก
ทั้งนี้แผนลงทุนปีหน้าตั้งงบประมาณไว้ที่ 80 ล้านบาท แบ่งเป็น 40 ล้านบาทใช้เป็นงบการตลาด งบอีก 30 ล้านบาทใช้ในการเปิด 1 สาขาใหม่ที่ชลบุรี และรีโนเวทอีก 3 สาขาเดิม นอกจากนั้นยังมีงบทางด้านไอทีอีก 10 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้ลงทุน 10 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่ที่เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะปลายเดือนพฤศจิกายนนี้เปิดบริการ
โดยปีหน้าบริษัทฯมีแผนที่จะขยายช่องทางจำหน่ายต่างๆมากขึ้นในส่วนที่เป็น ไดเร็คเซลส์ ทั้งการปรับปรุงหน้าเว๊บไซต์ให้มีข้อมูลมากขึ้น ง่ายต่อการใช้งานคาดว่าจะสามารถเริ่มซื้อขายผ่านเน็ตได้ไตรมาสแรกปีหน้า มีทีมพนักงานขายเข้าพบกลุ่มลูกค้า บริการคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ด้วยบริการสั่งซื้อออนไลน์ผ่านระบบ e-Procurement ประมาณไตรมาสที่สอง ซึ่งตั้งเป้าหมายที่จะมีสัดส่วนรายได้จากช่องทางนี้ 25% หรือประมาณ 800 ล้านบาท เติบโตจากปีนี้ 30% จากรายได้ 600 ล้านบาท ในช่องทางนี้ ซึ่งมียอดซื้อต่อบิลประมาณ 3,000 บาทต่อครั้ง
ขณะที่ช่องทางหลักนั้นยังคงเป็นการขายผ่านหน้าร้านมีสัดส่วนรายได้ 75% ซึ่งมียอดซื้อต่อบิลประมาณ 800 บาทต่อครั้ง จากจำนวนสาขาทั้งหมดที่เปิดบริการถึงสิ้นปีนี้จำนวน 35 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 26 สาขาและต่างจังหวัด 9 สาขา
สำหรับสัดส่วนรายได้มีดังนี้ แผนกออฟฟิศซัปพลายส์ 38% แผนกคอมพิวเตอร์ 25% แผนกบิสซิเสแมชีน 20% แผนกเครื่องเขียน 9% และแผนกเฟอร์นิเจอร์ 8% ซึ่งหากแบ่งเป็นประเภทสินค้าพบว่า สินค้าเฮาส์แบรนด์มีสัดส่วนรายได้ 26% และตั้งเป้าปีนี้เพิ่มเป็น 30% ส่วนที่เหลือเป็นสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์และสินค้าทั่วไป และมีจำนวนสินค้ามากกว่า 10,000 เอสเคยูเพิ่มขึ้นจากเดิมก่อนควบรวมกิจการที่มี 5,000 กว่าเอสเคยู
นายณัฐกล่าวต่อว่า ผลประกอบการปีนี้ คาดว่าจะทำได้ประมาณ 2,700 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% (โดยออฟฟิศดีโปเติบโต 13% และแม็คโครออฟฟิศเซ็นเตอร์เติบโต 7% ) และคาดว่าในปีหน้าจะมียอดขายรวม 3,060 ล้านบา เติบโต 15% ซึ่งบริษัทฯมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 15% จึงมองว่ายังมีโอกาสเติบโตและขยายตลาดได้อีกมาก
"งบตลาดปีหน้าจะหนักไปทางด้านบีโลว์เดอะไลน์ จัดโรดโชว์ กิจกรรมในหลายสถานที่ ปีนี้มีอีเว้นท์ 7 ครั้ง ปีหน้าก็จะมีหลายครั้งเพราะได้ผลทำยอดขายได้ดี ล่าสุดจัดที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้าปลายเดือนพฤศจิกายนนี้" นายณัฐกล่าว
นายณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออฟฟิศ คลับ (ไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านออฟฟิศ ดีโป เครือเซ็นทรัลกรุ๊ป กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทฯมีแผนลงทุนและทำตลาดเชิงรุกสำหรับออฟฟิศดีโป หลังจากที่ปีนี้ได้ปรับระบบต่างๆเรียบร้อยแล้วหลังควบรวมกิจการกับทางแม็คโครออฟฟิศเซ็นเตอร์เมื่อต้นปีนี้ ทำให้บริษัทฯมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
"อีกปัจจัยที่ทำให้เรารุกหนักเพราะการได้รับสนับสนุนจากทางออฟฟิศดีโปอินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทแม่ที่อเมริกา ที่พยายามจะสร้างความแข็งแกร่งตลาดนอกประเทศหลังจากที่ตลาดในอเมริกาประสบกับวิกฤติการทางการเงินส่งผลกระทบต่อธุรกิจไปทั่ว บริษัทแม่สนับสนุนด้านโนว์ฮาว์ไดเร็คเซลส์ ด้านไอที และระบบงานต่างๆรวมทั้งการสนับสนุนด้านสินค้าด้วย โดยมีศูนย์กลางที่จีนเป็นเอาท์ซอร์สซิ่งให้"
ตลาดรวมของออฟฟิศซัปพลายนั้นมีประมาณ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดช่องทางประเภทเทรดดิชันแนลเทรด 60% และช่องทางโมเดิร์นเทรด 40% ซึ่งตลาดรวมโตประมาณ 10% แต่ปีนี้คาดว่าโตน้อยประมาณ 7% เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งปีหน้าเราก็กังวลเหมือนกันจึงต้องทำตลาดเชิงรุก
ทั้งนี้แผนลงทุนปีหน้าตั้งงบประมาณไว้ที่ 80 ล้านบาท แบ่งเป็น 40 ล้านบาทใช้เป็นงบการตลาด งบอีก 30 ล้านบาทใช้ในการเปิด 1 สาขาใหม่ที่ชลบุรี และรีโนเวทอีก 3 สาขาเดิม นอกจากนั้นยังมีงบทางด้านไอทีอีก 10 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้ลงทุน 10 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่ที่เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะปลายเดือนพฤศจิกายนนี้เปิดบริการ
โดยปีหน้าบริษัทฯมีแผนที่จะขยายช่องทางจำหน่ายต่างๆมากขึ้นในส่วนที่เป็น ไดเร็คเซลส์ ทั้งการปรับปรุงหน้าเว๊บไซต์ให้มีข้อมูลมากขึ้น ง่ายต่อการใช้งานคาดว่าจะสามารถเริ่มซื้อขายผ่านเน็ตได้ไตรมาสแรกปีหน้า มีทีมพนักงานขายเข้าพบกลุ่มลูกค้า บริการคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ด้วยบริการสั่งซื้อออนไลน์ผ่านระบบ e-Procurement ประมาณไตรมาสที่สอง ซึ่งตั้งเป้าหมายที่จะมีสัดส่วนรายได้จากช่องทางนี้ 25% หรือประมาณ 800 ล้านบาท เติบโตจากปีนี้ 30% จากรายได้ 600 ล้านบาท ในช่องทางนี้ ซึ่งมียอดซื้อต่อบิลประมาณ 3,000 บาทต่อครั้ง
ขณะที่ช่องทางหลักนั้นยังคงเป็นการขายผ่านหน้าร้านมีสัดส่วนรายได้ 75% ซึ่งมียอดซื้อต่อบิลประมาณ 800 บาทต่อครั้ง จากจำนวนสาขาทั้งหมดที่เปิดบริการถึงสิ้นปีนี้จำนวน 35 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 26 สาขาและต่างจังหวัด 9 สาขา
สำหรับสัดส่วนรายได้มีดังนี้ แผนกออฟฟิศซัปพลายส์ 38% แผนกคอมพิวเตอร์ 25% แผนกบิสซิเสแมชีน 20% แผนกเครื่องเขียน 9% และแผนกเฟอร์นิเจอร์ 8% ซึ่งหากแบ่งเป็นประเภทสินค้าพบว่า สินค้าเฮาส์แบรนด์มีสัดส่วนรายได้ 26% และตั้งเป้าปีนี้เพิ่มเป็น 30% ส่วนที่เหลือเป็นสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์และสินค้าทั่วไป และมีจำนวนสินค้ามากกว่า 10,000 เอสเคยูเพิ่มขึ้นจากเดิมก่อนควบรวมกิจการที่มี 5,000 กว่าเอสเคยู
นายณัฐกล่าวต่อว่า ผลประกอบการปีนี้ คาดว่าจะทำได้ประมาณ 2,700 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% (โดยออฟฟิศดีโปเติบโต 13% และแม็คโครออฟฟิศเซ็นเตอร์เติบโต 7% ) และคาดว่าในปีหน้าจะมียอดขายรวม 3,060 ล้านบา เติบโต 15% ซึ่งบริษัทฯมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 15% จึงมองว่ายังมีโอกาสเติบโตและขยายตลาดได้อีกมาก
"งบตลาดปีหน้าจะหนักไปทางด้านบีโลว์เดอะไลน์ จัดโรดโชว์ กิจกรรมในหลายสถานที่ ปีนี้มีอีเว้นท์ 7 ครั้ง ปีหน้าก็จะมีหลายครั้งเพราะได้ผลทำยอดขายได้ดี ล่าสุดจัดที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้าปลายเดือนพฤศจิกายนนี้" นายณัฐกล่าว