เอเอฟพี - เปิดตัวนักยุทธศาสตร์ของทีมรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ จากสองพรรคสองบุคลิก คนหนึ่งเงียบขรึมขี้อาย ใช้กลยุทธ์หาเสียงแบบคงเส้นคงวา อีกคนคล่องแคล่วดุดัน เปิดเกมโจมตีคู่แข่งอย่างไม่ยั้ง ทว่า เมื่อขับเคี่ยวกันจนเข้าโค้งสุดท้ายของการแข่งขัน ดูเหมือนว่าคนแรกจะยิ้มออกแล้ว
เดวิด แอ็กเซลร็อด วัย 53 ปี คือที่ปรึกษาด้านการเมืองผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จชนิดพุ่งทะยานของบารัค โอบามาแห่งพรรคเดโมแครต เขามีเปลือกตาหนา ไว้หนวด ท่าทางเหมือนศาสตราจารย์ขี้อายคนหนึ่ง
แอ็กเซลร็อดมีประสบการณ์จากที่เคยเป็นผู้สื่อข่าวสายการเมืองมาก่อน แต่ภารกิจของเขาก็หนักมากเพราะต้องหาทางแทรกช่องว่างขายผู้สมัครชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันในหมู่ผู้เลือกตั้งผิวขาวให้ได้ แต่เขาก็เต็มใจทำงานนี้เพราะมีแรงจูงใจสำคัญคือ เขาเป็นเพื่อนกับโอบามามานานถึง 17 ปีแล้ว และเมื่อเดือนมกราคม 2007 ในช่วงที่โอบามากำลังเตรียมตัวลงชิงชัยในสนามเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ แอ็กเซลร็อดจึงพูดได้เต็มปากว่า การเลือกโอบามาเป็นประธานาธิบดี "เป็นสิ่งที่คุณจะรู้สึกภาคภูมิใจไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว"
ส่วนนักยุทธศาสตร์สำคัญของรีพับลิกันคือ สตีฟ ชมิดท์ เขาเป็นคนขวานผ่าซาก โกนหัวโล้น และมีชื่อเล่นแบบทหารหลายชื่อ เช่น "ลูกปืน" และ "กระสุนปืนใหญ่" ชมิดท์เข้ามารับผิดชอบภารกิจการหาเสียงประจำวันของแมคเคนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยได้ช่วยสร้างระเบียบวินัยภายในทีมให้แข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งนำเอาบทเรียนจากการหาเสียงของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช รอบที่สองเมื่อปี 2004 มาใช้ด้วย
ชมิดท์อายุ 38 ปี พวกสื่อมวลชนมองว่าเขาเป็นคนของคาร์ล โรฟ ปรมาจารย์ด้านการเมืองที่ร่วมงานกับบุชมาเป็นเวลานาน ทว่ากลยุทธ์การรณรงค์หาเสียงแบบรุกหนักของชมิดท์กลับทำให้เขาดูเหมือนพวกมือเก่าคนหนึ่ง ชมิดท์เป็นคนบอกให้แมคเคนหยุดวุ่นวายกับพวกสื่อที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แล้วหันไปโจมตีโอบามาโดยตรงอย่างหนักว่าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำสหรัฐฯ เพราะโอบามาเป็นแค่คนเด่นดังที่น่าเบื่อหน่าย แถมยังมีหัวเอียงซ้าย และยังคบหากับ "พวกผู้ก่อการร้าย" อีกด้วย
นอกจากนั้นชมิดท์ยังเป็นคนขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเลือกแซราห์ แพลิน ผู้ว่าการรัฐอะแลสกาที่ไม่มีใครรู้จัก ให้ขึ้นมาเป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับแมคเคน ซึ่งเป็นความพยายามมุ่งพลิกเกมการแข่งขันให้รีพับลิกันทำคะแนนตีตื้นกลับขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม การเลือกแพลินกำลังกลายเป็นความผิดพลาด หนำซ้ำ ภายใต้การบริหารเชิงรุกของชมิดท์ แมคเคนกำลังถูกเสนอให้ผู้คนจดจำเพียงแค่การเป็นนักการเมืองผู้ปากกับใจตรงกัน ซึ่งเคยลงแข่งขันกับบุชในการเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกันเมื่อปี 2000
ทว่า มาร์ค แมคคินนอน อดีตที่ปรึกษาทีมรณรงค์หาเสียงของรีพับลิกัน กลับเห็นว่าแนวทางของชมิดท์เป็นวิธีเดียวที่กระทำได้ ในการเลือกตั้งปีนี้ที่รีพับลิกันมีแต่ความอับโชค
"ชมิดท์มองหากลยุทธ์ทุกอย่างที่จะทำได้ และตัดสินใจเลือกใช้เฉพาะวิธีการที่จะประสบความสำเร็จ งานของเขาก็คือต้องชนะ ไม่ใช่การทำให้สื่อหรือแม้แต่อดีตที่ปรึกษาของแมคเคนสบายใจ" แมคคินนอนเคยให้สัมภาษณ์นิตยสารนิวสวีกไว้เช่นนี้
ในห้วงเวลาที่วิกฤตการเงินส่งผลสะเทือนอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯอยู่ในขณะนี้ ทั้งยุทธศาสตร์ของชมิดท์และแอ็กเซลร็อด ก็ต้องมีการปรับแต่งกันใหม่
ภายใต้คำแนะนำของแอ็กเซลร็อด โอบามาได้เปลี่ยนบุคลิกจากคนหน้าใหม่ที่ขอเป็นตัวนำการเปลี่ยนแปลง มาสู่การเป็นผู้นำที่มีความมั่นใจและสงบเยือกเย็นในภาวะวิกฤต ส่วนชมิดท์ก็วางบทบาทของแมคเคนให้เป็นผู้นำที่มีความสามารถและเป็นพวกประชานิยมที่เอาจริงเอาจัง
ถ้าหากว่าผลสำรวจความเห็นที่ออกมาจากสำนักต่างๆ เชื่อถือได้จริง กลยุทธ์ของแอ็กเซลร็อดที่เน้นความคงเส้นคงวามาตลอด ก็จะสามารถพิสูจน์ตัวเองว่า นี่คือเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว
เดวิด แอ็กเซลร็อด วัย 53 ปี คือที่ปรึกษาด้านการเมืองผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จชนิดพุ่งทะยานของบารัค โอบามาแห่งพรรคเดโมแครต เขามีเปลือกตาหนา ไว้หนวด ท่าทางเหมือนศาสตราจารย์ขี้อายคนหนึ่ง
แอ็กเซลร็อดมีประสบการณ์จากที่เคยเป็นผู้สื่อข่าวสายการเมืองมาก่อน แต่ภารกิจของเขาก็หนักมากเพราะต้องหาทางแทรกช่องว่างขายผู้สมัครชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันในหมู่ผู้เลือกตั้งผิวขาวให้ได้ แต่เขาก็เต็มใจทำงานนี้เพราะมีแรงจูงใจสำคัญคือ เขาเป็นเพื่อนกับโอบามามานานถึง 17 ปีแล้ว และเมื่อเดือนมกราคม 2007 ในช่วงที่โอบามากำลังเตรียมตัวลงชิงชัยในสนามเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ แอ็กเซลร็อดจึงพูดได้เต็มปากว่า การเลือกโอบามาเป็นประธานาธิบดี "เป็นสิ่งที่คุณจะรู้สึกภาคภูมิใจไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว"
ส่วนนักยุทธศาสตร์สำคัญของรีพับลิกันคือ สตีฟ ชมิดท์ เขาเป็นคนขวานผ่าซาก โกนหัวโล้น และมีชื่อเล่นแบบทหารหลายชื่อ เช่น "ลูกปืน" และ "กระสุนปืนใหญ่" ชมิดท์เข้ามารับผิดชอบภารกิจการหาเสียงประจำวันของแมคเคนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยได้ช่วยสร้างระเบียบวินัยภายในทีมให้แข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งนำเอาบทเรียนจากการหาเสียงของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช รอบที่สองเมื่อปี 2004 มาใช้ด้วย
ชมิดท์อายุ 38 ปี พวกสื่อมวลชนมองว่าเขาเป็นคนของคาร์ล โรฟ ปรมาจารย์ด้านการเมืองที่ร่วมงานกับบุชมาเป็นเวลานาน ทว่ากลยุทธ์การรณรงค์หาเสียงแบบรุกหนักของชมิดท์กลับทำให้เขาดูเหมือนพวกมือเก่าคนหนึ่ง ชมิดท์เป็นคนบอกให้แมคเคนหยุดวุ่นวายกับพวกสื่อที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แล้วหันไปโจมตีโอบามาโดยตรงอย่างหนักว่าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำสหรัฐฯ เพราะโอบามาเป็นแค่คนเด่นดังที่น่าเบื่อหน่าย แถมยังมีหัวเอียงซ้าย และยังคบหากับ "พวกผู้ก่อการร้าย" อีกด้วย
นอกจากนั้นชมิดท์ยังเป็นคนขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเลือกแซราห์ แพลิน ผู้ว่าการรัฐอะแลสกาที่ไม่มีใครรู้จัก ให้ขึ้นมาเป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับแมคเคน ซึ่งเป็นความพยายามมุ่งพลิกเกมการแข่งขันให้รีพับลิกันทำคะแนนตีตื้นกลับขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม การเลือกแพลินกำลังกลายเป็นความผิดพลาด หนำซ้ำ ภายใต้การบริหารเชิงรุกของชมิดท์ แมคเคนกำลังถูกเสนอให้ผู้คนจดจำเพียงแค่การเป็นนักการเมืองผู้ปากกับใจตรงกัน ซึ่งเคยลงแข่งขันกับบุชในการเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกันเมื่อปี 2000
ทว่า มาร์ค แมคคินนอน อดีตที่ปรึกษาทีมรณรงค์หาเสียงของรีพับลิกัน กลับเห็นว่าแนวทางของชมิดท์เป็นวิธีเดียวที่กระทำได้ ในการเลือกตั้งปีนี้ที่รีพับลิกันมีแต่ความอับโชค
"ชมิดท์มองหากลยุทธ์ทุกอย่างที่จะทำได้ และตัดสินใจเลือกใช้เฉพาะวิธีการที่จะประสบความสำเร็จ งานของเขาก็คือต้องชนะ ไม่ใช่การทำให้สื่อหรือแม้แต่อดีตที่ปรึกษาของแมคเคนสบายใจ" แมคคินนอนเคยให้สัมภาษณ์นิตยสารนิวสวีกไว้เช่นนี้
ในห้วงเวลาที่วิกฤตการเงินส่งผลสะเทือนอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯอยู่ในขณะนี้ ทั้งยุทธศาสตร์ของชมิดท์และแอ็กเซลร็อด ก็ต้องมีการปรับแต่งกันใหม่
ภายใต้คำแนะนำของแอ็กเซลร็อด โอบามาได้เปลี่ยนบุคลิกจากคนหน้าใหม่ที่ขอเป็นตัวนำการเปลี่ยนแปลง มาสู่การเป็นผู้นำที่มีความมั่นใจและสงบเยือกเย็นในภาวะวิกฤต ส่วนชมิดท์ก็วางบทบาทของแมคเคนให้เป็นผู้นำที่มีความสามารถและเป็นพวกประชานิยมที่เอาจริงเอาจัง
ถ้าหากว่าผลสำรวจความเห็นที่ออกมาจากสำนักต่างๆ เชื่อถือได้จริง กลยุทธ์ของแอ็กเซลร็อดที่เน้นความคงเส้นคงวามาตลอด ก็จะสามารถพิสูจน์ตัวเองว่า นี่คือเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว
