จากบทความเรื่อง “แผนลึกล้างแก๊งสี่คน” และเรื่อง “ปฏิบัติการล้างแก๊งสี่คน” มาจนถึงการฟอร์มคณะรัฐมนตรี ย่อมประจักษ์ชัดเจนแล้วว่าจิตใจของคนที่ลอนดอนนั้นเป็นดังที่ว่าไว้ว่า กับคนที่ทำนุบำรุงอุ้มชูมา หากคิดคดทรยศแล้ว จะถูกถือว่าเป็นศัตรูหมายเลข 1 ที่ต้องจองล้างจองผลาญจนดับดิ้นไป
แต่กับศัตรูที่ต่อสู้กันซึ่งหน้า ขับเคี่ยวกันโดยธรรมยุทธ์แล้ว ถึงแม้จะถือว่าเป็นศัตรู แต่ไม่ถือว่าเป็นคู่แค้นเพราะถือว่าได้ต่อสู้กันซึ่งหน้าตามวิสัยของศัตรู
คนที่ถือคติแบบนี้เป็นคนแปลกและหาได้ยาก จะว่าเป็นคติที่ถูกต้องก็ได้ หรือที่ไม่ถูกต้องก็ได้ เพราะคนถือคติแบบนี้ก็ย่อมได้รับผลของคตินั้นตามกฎแห่งกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในวันนี้แก๊งสี่คนถูกล้างผลาญหมดสภาพจงอางใหญ่กลายเป็นงูเขียวไปแล้ว และคงมีจุดจบสุดท้ายที่คดีกล้ายาง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองอยู่ในขณะนี้
บทเรียนของแก๊งสี่คนก็คือการตีงูให้หลังหัก ซึ่งบรมครูสุนทรภู่ให้คติเอาไว้ว่า
“ประเพณีตีงูให้หลังหักมันจะมักทำร้ายเมื่อภายหลัง
จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลังเหมือนเสือขังไปถึงดงก็คงร้าย
อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่าไปข้างหน้าศึกจะใหญ่นึกใจหาย
ต้องตำรับจับให้มั่นคั้นให้ตายจะทำภายหลังนั้นยากลำบากครัน”
วันเวลาของแก๊งสี่คนผ่านพ้นไปแล้ว นับแต่หลงคำคนไม่ทำการให้ตลอดรอดฝั่ง เผลอโง่ร่วมสังฆกรรมกับกลุ่มเดิมต่อไป ทั้งๆ ที่ได้เผยท่าทีแยกขั้วแยกฝ่ายชัดเจนแล้ว
ไม่เฉลียวใจเลยว่าการยอมรับปากให้โควตารัฐมนตรี 6 ที่นั่ง ซึ่งรวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้ มันออกจะง่ายเกินไป
แต่เพราะโลภะและโมหะเข้าครอบงำ ความเฉลียวและสติปัญญาจึงพร่ามัวไป แล้วหลงเข้ากลบ่วง จึงต้องรับชะตากรรมดังที่เป็นอยู่
ความจริงหากคิดอ่านทำการให้ตลอด พลิกไปจับขั้วกับพรรคประชาธิปัตย์ก็จะมีเสียงมากพอที่จะเป็นรัฐบาลได้ และรัฐบาลใหม่ก็ต้องพึ่งกำลังของแก๊งสี่คนไปจนหมดวาระ
การพลิกไปจับขั้วดังกล่าวย่อมทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ จำต้องเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ก่อสภาพรัฐบาลแห่งชาติที่สอดคล้องกับทิศทางลมทั้งปวง จะทำให้ยุติวิกฤตของชาติได้ และเบิกลู่ทางอันสว่างในการฟื้นฟูชาติบ้านเมืองให้เป็นปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง
มาถึงวันนี้ถึงจะคิดได้ก็ทำไม่ได้แล้ว จงก้มหน้ารับชะตากรรมไปเถิด
แล้วถามว่าเมื่อแก๊งสี่คนหมดสภาพไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป? ก็ต้องตอบว่าคือการยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย
ไม่สังเกตหรือสงสัยกันบ้างเลยหรือว่าจู่ๆ เรื่องที่เหนี่ยวรั้งกันไว้จนนานช้าผิดปกติ แล้วมาขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วนั้น มันเป็นเรื่องปกติหรือ?
พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยนั้นซ่าเกินไป ข่มเหงน้ำใจคนในยามยากมากเกินไป ทำราวกับว่าคุมชะตาชีวิตของใครบางคนเอาไว้ เป็นการจี้จุดใจดำที่ผูกใจเจ็บไม่รู้ลืม
ดังนั้นจึงถึงวาระต้องล้างบางนักการเมืองน้ำเน่าจอมซ่าเหล่านั้น และเมื่อมีการยุบพรรคแล้ว พวกลูกพรรคที่เหลือก็ย่อมกระเส็นกระสายไปเข้าพรรคเพื่อไทยจนหมด จะมีใครหน้าไหนอยู่กับคนที่ไม่มีอนาคตของทั้งสองพรรคนั้น
นายบรรหาร ศิลปอาชา ก็ดี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็ดี จงเร่งศึกษาบทเรียนจากกรณีแก๊งสี่คนและนายสมัคร สุนทรเวช เถิด
ส่วนพรรคพลังประชาชนก็ยังมีขวากหนามและเห็นเช่นเห็นชาติใครต่อใครจนมากพอที่ถึงเวลาจะต้องสิ้นสุดเวรกรรมกันเสียที ดังนั้นหากมีการยุบพรรคก็จะสามารถเลือกเฟ้นเอาคนที่ต้องอัชฌาสัยไปรวมกันไว้ในพรรคเพื่อไทยต่อไป
และพรรคเพื่อไทยก็จะกลายเป็นพรรคใหญ่แต่พรรคเดียวที่เป็นรัฐบาล ฟื้นวิธีดำเนินงานแบบพรรคไทยรักไทยขึ้นมาใหม่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ถึงวันนั้นจะตัดสินใจหาทางกลับเข้ามามีอำนาจเสียเอง หรือจะทำตัวเป็นใหญ่ว่าราชการอยู่หลังม่านโดยไม่มีสิ่งใดไปแผ้วพานได้ก็ยังมีเวลาอีกถมไป
เรื่องราวเหล่านี้ในวันนี้ออกจะมองไม่กระจ่างชัด แต่มันจะค่อยๆ เผยตัวให้เห็นชัดเจนขึ้นทีละอันวันละน้อย จนชัดแจ้งแดงแจ๋ในสักวันหนึ่ง
เพราะในวันนี้ คนที่ลอนดอนก็ยังไม่ตัดสินใจเด็ดขาดไปในทางใดทางหนึ่งว่าจะหยุดหรือจะสู้ต่อไป เพราะเมื่อมาถึงคำถามที่ต้องตั้งกับตัวเองว่าหยุดหรือสู้เพื่ออะไรแล้ว ก็ทำให้เกิดความลังเล
เพราะคำถามที่ดูง่ายๆ เช่นนี้กลับมีคำตอบที่ยากเย็นหนักหนา เพราะเป็นคำถามที่ถามถึงการแสวงหาของชีวิตตนและครอบครัว ซึ่งต้องรับผลแห่งการตัดสินใจนั้นเพียงลำพัง
ก็ต้องคอยดูกันต่อไป แต่เพื่อความเข้าใจในการมองเรื่องนี้ ก็ควรที่จะได้ทำความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิชาไท้เก๊กสักหน่อยหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นความรู้ในเรื่องไท้เก๊ก อย่างมากก็จะเป็นวิถีแห่งความคิดที่จะทำให้เห็นและเข้าใจอะไรต่อมิอะไรที่อาจไม่เคยนึกก็ได้
อันวิชาไท้เก๊กนั้นไม่ใช่เรื่องแบบแผนการออกกำลังกายของคนแก่แต่เพียงอย่างเดียวดังที่เข้าใจกัน แท้จริงเป็นสุดยอดวิชายุทธ์ที่ผนึกและผสมผสานสุดยอดหลายวิชาเข้าด้วยกัน จนน่าอัศจรรย์พันลึกอะไรเช่นนั้น
ปรมาจารย์ผู้คิดค้นหลักวิชาไท้เก๊กคือเตียซำฮงเจ้าสำนักบู๊ตึ๊งผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของก๊วยเซียง บุตรสุดท้องของก๊วยเจ๋งกับอึ้งย้ง และได้รับถ่ายทอดวิชายุทธ์โดยตรงมาจากเอี้ยก้วย ในยามที่เอี้ยก้วยได้บรรลุสุดยอดวิชายุทธ์สูงสุดสู่สามัญไปแล้ว
หลักวิชาใหญ่ที่ได้รับถ่ายทอดมาคือหลักวิชาคัมภีร์เกาอิมจินเกงของเฮ้งเตง เอี๊ยงเจ้าสำนักฉวนเจิน หลักวิชามวยล้อเองเจี้ยงของภูตบูรพาแห่งทะเลตะวันออก หลักวิชาปราบมังกรของเทพยดาขอทานเหนือ หลักวิชาตัวเบาของสำนักสุสานโบราณ และหลักวิชาเร้นลับของยอดคนผู้เร้นกายจนหายสาบสูญไปนามว่าต๊กโกปู้ป้าย
ครั้นหลักวิชาเหล่านี้ถ่ายทอดสืบมาจนถึงเตียซำฮงและก่อตั้งสำนักบู๊ตึ๊งขึ้นมาแล้ว เตียซำฮงก็ได้ค้นคว้าเคล็ดหลักวิชาทั้งหลายผสมผสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นหลักวิชามวยใหม่เฉพาะสำนักคือวิชาไท้เก๊ก
วิชาไท้เก๊กเป็นวิชายุทธ์ที่ลึกล้ำพิสดาร มีทวิภาพดำรงอยู่ในทุกอณูและจังหวะก้าวหรือทุกอิริยาบถ ดูประหนึ่งนิ่งแท้จริงกลับเคลื่อนไหว ดูประหนึ่งช้าแท้จริงกลับรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ ดูประหนึ่งเยื้องกรายแต่แท้จริงนิ่งสงบดุจขุนเขา ดูเบาดุจดังปุยนุ่นแท้จริงกลับหนักหน่วงยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด ดูเหมือนมีพลังล้นเหลือแต่แท้จริงว่างเปล่า ดูเหมือนปะทะแต่แท้จริงมิได้ปะทะเลย
หลักวิชาไท้เก๊กนั้น เบื้องล่างตั้งแต่เอวลงไปถือเอาการทรงตัวที่มั่นคงดุจขุนเขา แต่ไร้สภาพดุจอากาศ ทั้งในท่ายืนตรง ท่าเอน ท่าเอียง ท่าเฉียง ท่าราบ ท่าพลิก ท่าพลิ้ว และไม่ว่าท่าไหนๆ ก็จะมีความมั่นคง ไม่มีทางที่จะล้มลงได้เลย
ในท่ายืนเอนไปข้างหน้าก็สามารถก้มหน้าจูบพื้นได้ เอนหลัง เอนข้างซ้าย ข้างขวาก็เป็นอย่างเดียวกัน สองขาปักหลักนิ่งดุจดั่งเขาไท้ซาน แต่แท้จริงเคลื่อนไหวเร็วรี่ดุจจักรผัน ยากที่จะจับปมเงื่อนของมันได้เลย
เบื้องบนตั้งแต่เอวขึ้นไปใช้สองแขนสองไหล่และหนึ่งศีรษะเป็นตัวขับเคลื่อน
ยามยันดูเหมือนปะทะ แต่แท้จริงมิได้ปะทะเลย เพราะยันอยู่ในสภาพที่พลังของคู่ต่อสู้สุดล้าแล้ว ประดุจเกาทัณฑ์ที่พุ่งไปสุดแรง แม้ผ้าไหมอันเบาบางก็ไม่อาจเจาะให้ทะลุได้ฉันใดก็ฉันนั้น
ดูประหนึ่งหลบออกข้างไม่ว่าซ้ายหรือขวา แท้จริงกลับเป็นการเลี่ยงเบี่ยงให้พลังของคู่ต่อสู้ ดึงคู่ต่อสู้จนเสียหลัก ใช้พลังของคู่ต่อสู้ดึงและทำลายคู่ต่อสู้เอง หากจะตอบโต้ก็แค่ผลักก็จะเพิ่มพลังทำลายเพิ่มขึ้น
ยามจะตอบโต้กลับไม่ตอบโต้ซึ่งหน้า ถลาหลบ ตลบหลัง แผ่พลังผลักกลับไป แม้ห้าตำลึงเมื่อบวกกับพลังของคู่ต่อสู้ร้อยชั่ง พลังทำลายก็จะกลายเป็นร้อยชั่งกับห้าตำลึง
ยืมพลังศัตรูเยื้องกรายร่ายกระบวนท่าไปตามสถานการณ์ ศัตรูมีพลังเพียงไหน พลังเพียงนั้นเป็นอย่างน้อยจะถูกใช้ไปทำลายศัตรู แต่อย่างมากก็จะบวกกับพลังแห่งไท้เก๊กผสานเข้าทำลายล้างเป็นที่สุด
ดูเหมือนสับสนวุ่นวาย ขัดแย้ง ชุลมุนไปหมด แต่แท้จริงเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนอย่างยิ่ง
แค่หยิบฉวยเอามาเพียงหนึ่งในล้าน ก็กลับกลายเป็นกระบวนท่าในการออกกำลังกายของผู้คนนับล้านๆ ทั่วโลกในปัจจุบันนี้
คนที่ลอนดอนจะรู้หรือไม่รู้หลักวิชาไท้เก๊กก็ยากที่ใครจะล่วงรู้ แต่กระบวนท่าร่ายรำและกระทำต่อแก๊งสี่คนตลอดจนพรรคร่วมรัฐบาลนั้นหาใช่อื่นใดเลย แต่เป็นหลักวิชาไท้เก๊กทั้งสิ้น พิจารณาไตร่ตรองกันให้จงดีเถิดก็จะเห็นจริง
ว่าไปแล้วคนที่ลอนดอนนั้นก็มีดีอยู่ในตัวหลายอย่าง หาไม่แล้วไหนเลยจะมีความเก่งกล้าเกรียงไกรและยิ่งใหญ่ได้ถึงปานนี้
ทว่าความเก่งกล้าเกรียงไกรยิ่งใหญ่นั้นหาใช่สิ่งที่จะนำพาชีวิตให้รอดไม่ เพราะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังคำพังเพยที่ว่าคนบางคนมีวิชาความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด
เพราะความรู้ที่ท่วมหัวนั้นไม่มีความรู้ใดเลยที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตหรือเป็นความรู้ที่คู่กับความเป็นเวไนยสัตว์แห่งตน เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้เก่งเหนือฟ้า ต่อให้กล้าเหนือคน ต่อให้มีสติปัญญากว้างขวางดุจแผ่นฟ้าพระมหาสมุทร มีทรัพย์สินมหาศาล มีศฤงคารอเนกอนันต์ มีสมุนข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน ก็หาพ้นความแก่ ความเจ็บ และความตายไปได้ไม่
เมื่อใดที่เข้าถึงธรรมฉะนี้แล้วก็จะเห็นกระจ่างว่าการเอาอะไรๆ เข้าในตัวเป็นภาระอันหนัก การปล่อยปละละวางทำให้ตัวและใจเบาสบาย มีความเป็นอิสระเสรี มีความสุข ที่เป็นทั้งสุขซึ่งยังปนด้วยอามิส สุขซึ่งเกิดแต่วิเวก กระทั่งเกิดสุขที่เกิดแต่สมาธิ ไปจนถึงความสุขที่เรียกว่าบรมสุข คือนิพพาน
“เราหยุดแล้ว เธอซิไยไม่ยอมหยุด รุดเข่นฆ่า” เสียงพระพุทธองค์ที่ทรงเปล่งกับพระองคุลีมาลยังคงก้องกังวานอยู่ในโลกแห่งเวลาเมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้วนั้นหากมีสติปัญญาจริงก็ย่อมได้ยินได้!
แต่กับศัตรูที่ต่อสู้กันซึ่งหน้า ขับเคี่ยวกันโดยธรรมยุทธ์แล้ว ถึงแม้จะถือว่าเป็นศัตรู แต่ไม่ถือว่าเป็นคู่แค้นเพราะถือว่าได้ต่อสู้กันซึ่งหน้าตามวิสัยของศัตรู
คนที่ถือคติแบบนี้เป็นคนแปลกและหาได้ยาก จะว่าเป็นคติที่ถูกต้องก็ได้ หรือที่ไม่ถูกต้องก็ได้ เพราะคนถือคติแบบนี้ก็ย่อมได้รับผลของคตินั้นตามกฎแห่งกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในวันนี้แก๊งสี่คนถูกล้างผลาญหมดสภาพจงอางใหญ่กลายเป็นงูเขียวไปแล้ว และคงมีจุดจบสุดท้ายที่คดีกล้ายาง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองอยู่ในขณะนี้
บทเรียนของแก๊งสี่คนก็คือการตีงูให้หลังหัก ซึ่งบรมครูสุนทรภู่ให้คติเอาไว้ว่า
“ประเพณีตีงูให้หลังหักมันจะมักทำร้ายเมื่อภายหลัง
จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลังเหมือนเสือขังไปถึงดงก็คงร้าย
อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่าไปข้างหน้าศึกจะใหญ่นึกใจหาย
ต้องตำรับจับให้มั่นคั้นให้ตายจะทำภายหลังนั้นยากลำบากครัน”
วันเวลาของแก๊งสี่คนผ่านพ้นไปแล้ว นับแต่หลงคำคนไม่ทำการให้ตลอดรอดฝั่ง เผลอโง่ร่วมสังฆกรรมกับกลุ่มเดิมต่อไป ทั้งๆ ที่ได้เผยท่าทีแยกขั้วแยกฝ่ายชัดเจนแล้ว
ไม่เฉลียวใจเลยว่าการยอมรับปากให้โควตารัฐมนตรี 6 ที่นั่ง ซึ่งรวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้ มันออกจะง่ายเกินไป
แต่เพราะโลภะและโมหะเข้าครอบงำ ความเฉลียวและสติปัญญาจึงพร่ามัวไป แล้วหลงเข้ากลบ่วง จึงต้องรับชะตากรรมดังที่เป็นอยู่
ความจริงหากคิดอ่านทำการให้ตลอด พลิกไปจับขั้วกับพรรคประชาธิปัตย์ก็จะมีเสียงมากพอที่จะเป็นรัฐบาลได้ และรัฐบาลใหม่ก็ต้องพึ่งกำลังของแก๊งสี่คนไปจนหมดวาระ
การพลิกไปจับขั้วดังกล่าวย่อมทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ จำต้องเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ก่อสภาพรัฐบาลแห่งชาติที่สอดคล้องกับทิศทางลมทั้งปวง จะทำให้ยุติวิกฤตของชาติได้ และเบิกลู่ทางอันสว่างในการฟื้นฟูชาติบ้านเมืองให้เป็นปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง
มาถึงวันนี้ถึงจะคิดได้ก็ทำไม่ได้แล้ว จงก้มหน้ารับชะตากรรมไปเถิด
แล้วถามว่าเมื่อแก๊งสี่คนหมดสภาพไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป? ก็ต้องตอบว่าคือการยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย
ไม่สังเกตหรือสงสัยกันบ้างเลยหรือว่าจู่ๆ เรื่องที่เหนี่ยวรั้งกันไว้จนนานช้าผิดปกติ แล้วมาขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วนั้น มันเป็นเรื่องปกติหรือ?
พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยนั้นซ่าเกินไป ข่มเหงน้ำใจคนในยามยากมากเกินไป ทำราวกับว่าคุมชะตาชีวิตของใครบางคนเอาไว้ เป็นการจี้จุดใจดำที่ผูกใจเจ็บไม่รู้ลืม
ดังนั้นจึงถึงวาระต้องล้างบางนักการเมืองน้ำเน่าจอมซ่าเหล่านั้น และเมื่อมีการยุบพรรคแล้ว พวกลูกพรรคที่เหลือก็ย่อมกระเส็นกระสายไปเข้าพรรคเพื่อไทยจนหมด จะมีใครหน้าไหนอยู่กับคนที่ไม่มีอนาคตของทั้งสองพรรคนั้น
นายบรรหาร ศิลปอาชา ก็ดี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็ดี จงเร่งศึกษาบทเรียนจากกรณีแก๊งสี่คนและนายสมัคร สุนทรเวช เถิด
ส่วนพรรคพลังประชาชนก็ยังมีขวากหนามและเห็นเช่นเห็นชาติใครต่อใครจนมากพอที่ถึงเวลาจะต้องสิ้นสุดเวรกรรมกันเสียที ดังนั้นหากมีการยุบพรรคก็จะสามารถเลือกเฟ้นเอาคนที่ต้องอัชฌาสัยไปรวมกันไว้ในพรรคเพื่อไทยต่อไป
และพรรคเพื่อไทยก็จะกลายเป็นพรรคใหญ่แต่พรรคเดียวที่เป็นรัฐบาล ฟื้นวิธีดำเนินงานแบบพรรคไทยรักไทยขึ้นมาใหม่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ถึงวันนั้นจะตัดสินใจหาทางกลับเข้ามามีอำนาจเสียเอง หรือจะทำตัวเป็นใหญ่ว่าราชการอยู่หลังม่านโดยไม่มีสิ่งใดไปแผ้วพานได้ก็ยังมีเวลาอีกถมไป
เรื่องราวเหล่านี้ในวันนี้ออกจะมองไม่กระจ่างชัด แต่มันจะค่อยๆ เผยตัวให้เห็นชัดเจนขึ้นทีละอันวันละน้อย จนชัดแจ้งแดงแจ๋ในสักวันหนึ่ง
เพราะในวันนี้ คนที่ลอนดอนก็ยังไม่ตัดสินใจเด็ดขาดไปในทางใดทางหนึ่งว่าจะหยุดหรือจะสู้ต่อไป เพราะเมื่อมาถึงคำถามที่ต้องตั้งกับตัวเองว่าหยุดหรือสู้เพื่ออะไรแล้ว ก็ทำให้เกิดความลังเล
เพราะคำถามที่ดูง่ายๆ เช่นนี้กลับมีคำตอบที่ยากเย็นหนักหนา เพราะเป็นคำถามที่ถามถึงการแสวงหาของชีวิตตนและครอบครัว ซึ่งต้องรับผลแห่งการตัดสินใจนั้นเพียงลำพัง
ก็ต้องคอยดูกันต่อไป แต่เพื่อความเข้าใจในการมองเรื่องนี้ ก็ควรที่จะได้ทำความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิชาไท้เก๊กสักหน่อยหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นความรู้ในเรื่องไท้เก๊ก อย่างมากก็จะเป็นวิถีแห่งความคิดที่จะทำให้เห็นและเข้าใจอะไรต่อมิอะไรที่อาจไม่เคยนึกก็ได้
อันวิชาไท้เก๊กนั้นไม่ใช่เรื่องแบบแผนการออกกำลังกายของคนแก่แต่เพียงอย่างเดียวดังที่เข้าใจกัน แท้จริงเป็นสุดยอดวิชายุทธ์ที่ผนึกและผสมผสานสุดยอดหลายวิชาเข้าด้วยกัน จนน่าอัศจรรย์พันลึกอะไรเช่นนั้น
ปรมาจารย์ผู้คิดค้นหลักวิชาไท้เก๊กคือเตียซำฮงเจ้าสำนักบู๊ตึ๊งผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของก๊วยเซียง บุตรสุดท้องของก๊วยเจ๋งกับอึ้งย้ง และได้รับถ่ายทอดวิชายุทธ์โดยตรงมาจากเอี้ยก้วย ในยามที่เอี้ยก้วยได้บรรลุสุดยอดวิชายุทธ์สูงสุดสู่สามัญไปแล้ว
หลักวิชาใหญ่ที่ได้รับถ่ายทอดมาคือหลักวิชาคัมภีร์เกาอิมจินเกงของเฮ้งเตง เอี๊ยงเจ้าสำนักฉวนเจิน หลักวิชามวยล้อเองเจี้ยงของภูตบูรพาแห่งทะเลตะวันออก หลักวิชาปราบมังกรของเทพยดาขอทานเหนือ หลักวิชาตัวเบาของสำนักสุสานโบราณ และหลักวิชาเร้นลับของยอดคนผู้เร้นกายจนหายสาบสูญไปนามว่าต๊กโกปู้ป้าย
ครั้นหลักวิชาเหล่านี้ถ่ายทอดสืบมาจนถึงเตียซำฮงและก่อตั้งสำนักบู๊ตึ๊งขึ้นมาแล้ว เตียซำฮงก็ได้ค้นคว้าเคล็ดหลักวิชาทั้งหลายผสมผสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นหลักวิชามวยใหม่เฉพาะสำนักคือวิชาไท้เก๊ก
วิชาไท้เก๊กเป็นวิชายุทธ์ที่ลึกล้ำพิสดาร มีทวิภาพดำรงอยู่ในทุกอณูและจังหวะก้าวหรือทุกอิริยาบถ ดูประหนึ่งนิ่งแท้จริงกลับเคลื่อนไหว ดูประหนึ่งช้าแท้จริงกลับรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ ดูประหนึ่งเยื้องกรายแต่แท้จริงนิ่งสงบดุจขุนเขา ดูเบาดุจดังปุยนุ่นแท้จริงกลับหนักหน่วงยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด ดูเหมือนมีพลังล้นเหลือแต่แท้จริงว่างเปล่า ดูเหมือนปะทะแต่แท้จริงมิได้ปะทะเลย
หลักวิชาไท้เก๊กนั้น เบื้องล่างตั้งแต่เอวลงไปถือเอาการทรงตัวที่มั่นคงดุจขุนเขา แต่ไร้สภาพดุจอากาศ ทั้งในท่ายืนตรง ท่าเอน ท่าเอียง ท่าเฉียง ท่าราบ ท่าพลิก ท่าพลิ้ว และไม่ว่าท่าไหนๆ ก็จะมีความมั่นคง ไม่มีทางที่จะล้มลงได้เลย
ในท่ายืนเอนไปข้างหน้าก็สามารถก้มหน้าจูบพื้นได้ เอนหลัง เอนข้างซ้าย ข้างขวาก็เป็นอย่างเดียวกัน สองขาปักหลักนิ่งดุจดั่งเขาไท้ซาน แต่แท้จริงเคลื่อนไหวเร็วรี่ดุจจักรผัน ยากที่จะจับปมเงื่อนของมันได้เลย
เบื้องบนตั้งแต่เอวขึ้นไปใช้สองแขนสองไหล่และหนึ่งศีรษะเป็นตัวขับเคลื่อน
ยามยันดูเหมือนปะทะ แต่แท้จริงมิได้ปะทะเลย เพราะยันอยู่ในสภาพที่พลังของคู่ต่อสู้สุดล้าแล้ว ประดุจเกาทัณฑ์ที่พุ่งไปสุดแรง แม้ผ้าไหมอันเบาบางก็ไม่อาจเจาะให้ทะลุได้ฉันใดก็ฉันนั้น
ดูประหนึ่งหลบออกข้างไม่ว่าซ้ายหรือขวา แท้จริงกลับเป็นการเลี่ยงเบี่ยงให้พลังของคู่ต่อสู้ ดึงคู่ต่อสู้จนเสียหลัก ใช้พลังของคู่ต่อสู้ดึงและทำลายคู่ต่อสู้เอง หากจะตอบโต้ก็แค่ผลักก็จะเพิ่มพลังทำลายเพิ่มขึ้น
ยามจะตอบโต้กลับไม่ตอบโต้ซึ่งหน้า ถลาหลบ ตลบหลัง แผ่พลังผลักกลับไป แม้ห้าตำลึงเมื่อบวกกับพลังของคู่ต่อสู้ร้อยชั่ง พลังทำลายก็จะกลายเป็นร้อยชั่งกับห้าตำลึง
ยืมพลังศัตรูเยื้องกรายร่ายกระบวนท่าไปตามสถานการณ์ ศัตรูมีพลังเพียงไหน พลังเพียงนั้นเป็นอย่างน้อยจะถูกใช้ไปทำลายศัตรู แต่อย่างมากก็จะบวกกับพลังแห่งไท้เก๊กผสานเข้าทำลายล้างเป็นที่สุด
ดูเหมือนสับสนวุ่นวาย ขัดแย้ง ชุลมุนไปหมด แต่แท้จริงเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนอย่างยิ่ง
แค่หยิบฉวยเอามาเพียงหนึ่งในล้าน ก็กลับกลายเป็นกระบวนท่าในการออกกำลังกายของผู้คนนับล้านๆ ทั่วโลกในปัจจุบันนี้
คนที่ลอนดอนจะรู้หรือไม่รู้หลักวิชาไท้เก๊กก็ยากที่ใครจะล่วงรู้ แต่กระบวนท่าร่ายรำและกระทำต่อแก๊งสี่คนตลอดจนพรรคร่วมรัฐบาลนั้นหาใช่อื่นใดเลย แต่เป็นหลักวิชาไท้เก๊กทั้งสิ้น พิจารณาไตร่ตรองกันให้จงดีเถิดก็จะเห็นจริง
ว่าไปแล้วคนที่ลอนดอนนั้นก็มีดีอยู่ในตัวหลายอย่าง หาไม่แล้วไหนเลยจะมีความเก่งกล้าเกรียงไกรและยิ่งใหญ่ได้ถึงปานนี้
ทว่าความเก่งกล้าเกรียงไกรยิ่งใหญ่นั้นหาใช่สิ่งที่จะนำพาชีวิตให้รอดไม่ เพราะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังคำพังเพยที่ว่าคนบางคนมีวิชาความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด
เพราะความรู้ที่ท่วมหัวนั้นไม่มีความรู้ใดเลยที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตหรือเป็นความรู้ที่คู่กับความเป็นเวไนยสัตว์แห่งตน เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้เก่งเหนือฟ้า ต่อให้กล้าเหนือคน ต่อให้มีสติปัญญากว้างขวางดุจแผ่นฟ้าพระมหาสมุทร มีทรัพย์สินมหาศาล มีศฤงคารอเนกอนันต์ มีสมุนข้าทาสบริวารนับไม่ถ้วน ก็หาพ้นความแก่ ความเจ็บ และความตายไปได้ไม่
เมื่อใดที่เข้าถึงธรรมฉะนี้แล้วก็จะเห็นกระจ่างว่าการเอาอะไรๆ เข้าในตัวเป็นภาระอันหนัก การปล่อยปละละวางทำให้ตัวและใจเบาสบาย มีความเป็นอิสระเสรี มีความสุข ที่เป็นทั้งสุขซึ่งยังปนด้วยอามิส สุขซึ่งเกิดแต่วิเวก กระทั่งเกิดสุขที่เกิดแต่สมาธิ ไปจนถึงความสุขที่เรียกว่าบรมสุข คือนิพพาน
“เราหยุดแล้ว เธอซิไยไม่ยอมหยุด รุดเข่นฆ่า” เสียงพระพุทธองค์ที่ทรงเปล่งกับพระองคุลีมาลยังคงก้องกังวานอยู่ในโลกแห่งเวลาเมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้วนั้นหากมีสติปัญญาจริงก็ย่อมได้ยินได้!