พี่น้องชาวไทยที่เคารพรักทั้งหลาย
เมื่อคืนวานซืนที่ 10 กันยายน 2551 ผมตั้งใจจะไปปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ ด้วยตนเอง หลังจากปราศรัยเวทีมัฆวานกับบรรดาน้องๆนิสิตนักศึกษาแล้ว คาดว่าจะปราศรัยเสร็จราวๆหนึ่งทุ่ม คงได้พักและไปพูดที่ทำเนียบได้ในเวลาสองทุ่มครึ่งพอดี
แต่ความล่าช้าที่เวทีเด็กกว่าผมจะได้พูดก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มครึ่งแล้ว ประกอบกับ ณ เวลานั้น ผมได้รับการขอร้องจากท่านผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงบ้านเมืองยิ่ง ให้ผมตอบคำถาม 3-4 ข้อ และคอยรับการติดต่อนัดหมายว่าจะไปพูดกันในรายละเอียดหลังจากนั้น ผมไปขอกระดาษและยืมปากกาน้องๆ ที่เต็นท์เขียนตอบคำถามทั้งหมดจบในเวลาประมาณหกโมงครึ่ง ก็คิดว่าสังขารคงจะไม่อำนวยให้ไปพูดที่เวทีทำเนียบแน่ๆ นี่คือความสัตย์จริง มิได้เกี่ยงงอนหรือน้อยใจว่าให้เวลาน้อยเกินไปแต่อย่างใด
ความจริงนั้น ผมเต็มใจที่จะพูด แต่ไม่จำเป็นก็ไม่อยากพูด เพราะความคิดของผมได้เขียนเป็นตัวหนังสือไว้หมดแล้ว ยกเว้นการไปพูดกับนิสิตนักศึกษาผมยินดีเป็นพิเศษ เนื่องจากครั้งหนึ่งเราเคยมีจิตวิญญาณเดียวกัน ถึงแม้จะเป็นคนละมิติเวลาก็ตาม ในวันที่ 26 มีนาคม 2500 ผมกับเพื่อนๆ หลายพันคนเตรียมจะแหวกด้ามปลายปืนของทหารที่สะพานมัฆวานเดียวกันนี้ เพื่อไปประท้วงนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม เดชะบุญ วีรบุรุษมัฆวาน ร.อ.อาทิตย์ กำลังเอกเปิดช่องทางให้ เราจึงสามารถเดินต่อไปพังประตูใหญ่ของทำเนียบเข้าไปนั่งกลางสนามหน้าตึกไทยคู่ฟ้าได้
เมื่อคืนวานนี้ ผมได้ให้ความคิดน้องๆ นักศึกษาว่า เราอย่าติดยึดหรือเข้าใจผิดๆว่าวีรบุรุษคือคนที่ออกหน้าหรือประกาศตนเอง ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ “สื่อไม่ได้รายงาน-นักวิชาการไม่ได้ศึกษา” โดยเฉพาะเรื่องของวีรบุรุษที่แท้จริงหรือวีรบุรุษนิรนาม อันได้แก่ประชาชนและนักศึกษาส่วนใหญ่ที่หนุนเนื่องกันมา ไม่ว่าจะเป็นที่ทำเนียบรัฐบาลหรือที่มัฆวานเวลานี้ เขาเหล่านี้ต่างหากคือวีรบุรุษที่แท้จริง เพราะเขาคือผู้บริสุทธิ์ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง พลังของเขาจึงเป็นพลังแรงที่คุ้มศัตรูให้บรรดาผู้นำได้ปราศจากเขา ผู้นำจะมีความหมายอะไร และไม่มีใครรู้ได้ว่าผู้นำแต่ละคนจะบริสุทธิ์เหมือนนักศึกษาหรือประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ หรือว่าใครจะมีวาระซ่อนเร้นอย่างไร
ผมได้เล่าให้น้องๆ ฟังถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อนักศึกษา 7 คนถูกจับพร้อมกับประพันธ์ศักดิ์ โกมลเพชร และอาจารย์ทวี หมื่นนิกร นั้น อาจารย์ธรรมศาสตร์ส่วนใหญ่ที่ดาหน้าออกมาเป็นวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ของผู้ชนะนั้น เล่นบทไม่ต่างกับผู้เป็นกลางริบบิ้นสีขาวแบบ wait and see หรือคอยดูตาม้าตาเรือเสียก่อน จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐกรอบเย็นวันที่ 6 ตุลาคม ระเบิดข่าวตั้งกองทุนสู้เผด็จการ ประชาชนกับนักศึกษาหลั่งไหลออกมานั่นดอก พวกเขาจึงค่อยๆ เดินลงจากหอคอยงาช้างออกมาอย่างสง่างามและมีท่วงทำนอง
การไปพูดกับนักศึกษาคืนวานซืนนี้ ผมถามเขาว่าถ้าจำเป็นจะออกมาสักห้าหมื่นได้หรือไม่ คำตอบที่ทันควันโดยไม่ถามว่าจะไปไหนหรือทำอะไรก็คือ ความมั่นใจว่า ได้ และได้แน่ๆ ความจริงผมมีความหวังลึกๆ อยู่ในใจว่า เขาควรจะพากันไปเยี่ยมตึกรัฐสภา ไม่ต้องไปปิดล้อมหรือยึดอะไรแบบนั้น แต่ไปแสดงพลังให้เห็นว่าเขารู้ทัน ถึงเวลาแล้วที่สภาผู้แทนฯ อันไร้ความชอบธรรม และขาดผลงานจะต้องเลิกเล่นละครตบตาประเทศชาติและประชาชน
พี่น้องที่เคารพรัก ผมชื่นชมในความทรหดอดทนและมุ่งมั่นของพันธมิตรฯ ที่ต่อสู้ผ่านมาได้ถึง 100 กว่าวัน ผมรู้สึกว่าทุกๆ ชั่วโมงที่ผ่านไป มีระเบิดเวลาที่พร้อมจะทำลายบ้านเมืองกำลังเดินติ๊กๆ ติ๊กๆ อยู่น่ากลัว ความกล้าหาญชาญชัยไร้ผลประโยชน์ของพี่น้องเท่านั้นจึงจะปลดชนวนระเบิดได้ ขอให้พี่น้องโชคดี
พี่น้องที่รัก ผมได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องของพี่น้องในวันที่ 9 กันยายน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สมัครตกจากเก้าอี้ไป ยินดีด้วยครับ แต่ผมขอเรียนว่า นั่นเป็นแต่เพียงสมรภูมิแห่งการรบย่อยๆ เท่านั้น หาใช่สงครามที่แท้จริงไม่ เราอาจชนะการรบในวันนั้น แต่เราอาจจะแพ้สงคราม ถ้าหากเราพากันลิงโลดและประมาท
จริงอยู่ สมัครฝันสลาย อดไป “จ้อ” ในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติปลายเดือนกันยายนนี้ ผมโล่งใจแทนประเทศไทยที่อาจเสี่ยงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน วันอาทิตย์นี้เราคงต้องคอยดูว่ากรมกร๊วกจะมี “สนทนาประสาสมัคร” หรือไม่ รวมทั้งรายการความเท็จวันนี้ของไอ้ลิงหัวเกรียน 3 ตัวด้วย แต่ที่แน่ๆ ต้องคอยดูว่าสมัครจะหนีศาลในวันที่ 25 กันยายน 2551 นี้หรือไม่
ถ้าไม่ พี่น้องที่เคารพ คำทำนายของผมที่ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีสองคนจะต้องติดคุก ก็จะเป็นจริงครึ่งหนึ่งแล้ว ไชโย แผ่เมตตา
เราต้องคอยดูกันต่อไปว่า พรรคพลังประชาชนจะพากันตบหน้าศาลหรือไม่ เรื่องนี้เราก็เห็นพลพรรคนี้สบัดฝ่ามือและผายลมกันออกมาอย่างพร้อมเพรียงแล้ว นอกจากนั้น ยังมีบทความจากนักวิชาการรับจ้างตาน้ำข้าวออกมาวิจารณ์และขุดคุ้ยศาลเป็นรายตัวทันที ไม่รอแม้แต่วันเดียวเลย นี่ไงที่ผมบอกว่าเป็นยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ของระบอบทักษิณ ว่างๆ ผมจะเอาฉบับแปลมาเสนอให้พี่น้องฟัง
สำหรับยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” นั้นสำคัญยิ่งยวด ระบอบทักษิณในฐานะผู้ถืออำนาจรัฐสามารถใช้งบประมาณแผ่นดิน ปลุกระดมรากหญ้าให้มาเชียร์สมัครที่อุดรธานีในการประชุม ครม.สัญจรที่อุดรธานีได้อย่างคับคั่ง ฟังว่ากระทรวงมหาดไทยถูกไถไป 4 ล้าน คตง.คงจะทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายมารับธงพระราชทานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ อย่างไรก็ตาม สมัครก็ได้สำเร็จภารกิจยึดฐานที่มั่นอุดรฯ ไว้เป็นเขตปลดปล่อย ในกรณีที่มีรัฐบาลอื่นคนละพวกขึ้นมาในอนาคต และในวันที่ 7 และ 8 กันยายนนั้น ได้ซักซ้อมและยืนยันยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองไว้อย่างแข็งขัน สาธุ
ผมเองไม่อยากรู้ดีไปกว่าสมัคร แต่สมัคร ด้วยอวิชชา มานะ และตัณหา คงจะไม่รู้ว่าตนเองในฐานะหัวหน้าพรรคนั้น เป็นแต่เพียงดาวข่อยหรือดาวเคราะห์ หาใช่ดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวมาก ทักษิณต่างหากที่จะบงการให้สมัครเล่นบทเป็นขุนหรือเป็นเบี้ยก็ได้ทั้งนั้น
ถ้าทักษิณต้องการตบหน้าศาล รักษาสมัครไว้เป็นขุนในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ ก็แปลว่าทักษิณต้องการประกาศสงครามประชาชน การนองเลือดและยืดเยื้อเป็นประโยชน์ต่อระบอบทักษิณ อย่างน้อยทักษิณก็จะมีข้ออ้างในการขอลี้ภัย และในที่สุด กลียุคที่เกิดจาก “โลกล้อมประเทศ” และ “ป่าล้อมเมือง” ก็จะเชื้อเชิญให้ทักษิณกลับมาเป็นผู้แก้ไข และปราบดาภิเษก เมื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอ่อนโรยสิ้นกำลัง
พี่น้องที่เคารพ ทันทีที่ฟังคำสั่งศาลจบ ผมรีบโทรศัพท์ไปหาคุณปลั่ง มีจุล ท่านคงแปลกใจที่หลายสิบปีแล้วไม่ได้พบหรือคุยกันเลย พี่น้องอาจจะจำได้ว่า คุณปลั่งเป็นหนึ่งเดียวโดดๆ ในคณะกฤษฎีกาที่มีความเห็นว่า รัฐมนตรีหน้าหวยปฏิบัติหน้าที่มิได้ และสำนักงานกฤษฎีกาในฐานะหน่วยงานของรัฐจะต้องมีมารยาทไม่ล้ำหน้าหรือลบล้างความเห็นของศาล
ปลั่ง มีจุล คือใคร นอกจากจะเป็นหนึ่งในสองกับผมที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่ต้องพบกับนายกรัฐมนตรี สัญญา ธรรมศักดิ์ทุกวันในหน้าที่ราชการ ปลั่ง มีจุล คือเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่ยาวนานที่สุด และได้ฝึกวิทยายุทธ์มาอย่างช่ำชองกับนายมนูญ บริสุทธิ์ อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้เป็นเอตะทัคคะและผู้ประพันธ์หนังสือชื่อ “คณะรัฐมนตรี” ที่ถือเป็นปทานุกรมได้ ท่านหลังนี้นอกจากเป็นผู้บังคับบัญชา ยังเป็นพ่อตาของคุณปลั่งอีกด้วย
พี่ปลั่งไม่แปลกใจที่ผมโทร.ไปขอวิทยาทานจากท่าน และท่านก็ให้โดยไม่ลังเลใจ ผมถามพี่ปลั่งว่า รัฐบาลรักษาการของสมัครนี้ ทำอะไรได้บ้างและทำอะไรไม่ได้บ้าง พี่ปลั่งบอกว่า ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากงานประจำหรือรูตีน และจะต้องงดเว้น ไม่ทำงานสำคัญอย่างเด็ดขาด และจะต้องรู้และยึดถือมาตรฐานด้วยว่าอะไรคืองานสำคัญและไม่สำคัญ นอกจากนั้น จะต้องมีมารยาท จะต้องไม่จุ้นจ้านวางก้ามมีอำนาจ ผมเรียนพี่ปลั่งว่า รัฐบาลหอกหักซังกาบ๊วยยังงี้หรือจะมีสำนึกหรือมารยาท ผมหวังว่าจะได้ยินเสียงพี่ปลั่งว่า นั่นนะซี แต่ท่านเงียบ
จึงตกเป็นหน้าที่ของผมและของพี่น้องชาวไทยทั้งหลายที่จะต้องไม่เงียบ เราต้องระแวดระวังส่งเสียงและสำแดงพลัง ว่าเรารู้ว่ารัฐบาลนี้ พรรคการเมืองนี้ขาดความชอบธรรมมาแต่ต้น นอกจากจะฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กระทำผิดกฎหมาย ขายชาติ ขายแผ่นดินแล้ว ยังยุยงส่งเสริมให้อันธพาลในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบทำลายเข่นฆ่าประชาชน และความสงบสุขในบ้านเมือง อีกหน่อยรัฐบาลและพรรคการเมืองที่สมคบกันก่อกรรมทำเข็ญก็จะถูกศาลกวาดไปทีละพรรคๆ แต่กว่าจะถึงวันนั้น บ้านเมืองจะล่มจมฉิบหายวายวอดเสียก่อน
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รัก นิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน ชาวไร่ชาวนา ข้าราชการ ทหารตำรวจ พ่อค้า นักอุตสาหกรรม และผู้ที่รักชาติบ้านเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งหลาย เราจะต้องมาร่วมกันเปล่งเสียงสำแดงพลังให้พวกนักกินเมืองเหล่านี้ได้ยินว่า กูไม่ยอม และ กูไม่กลัวมึง
ขอบคุณ
เมื่อคืนวานซืนที่ 10 กันยายน 2551 ผมตั้งใจจะไปปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ ด้วยตนเอง หลังจากปราศรัยเวทีมัฆวานกับบรรดาน้องๆนิสิตนักศึกษาแล้ว คาดว่าจะปราศรัยเสร็จราวๆหนึ่งทุ่ม คงได้พักและไปพูดที่ทำเนียบได้ในเวลาสองทุ่มครึ่งพอดี
แต่ความล่าช้าที่เวทีเด็กกว่าผมจะได้พูดก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มครึ่งแล้ว ประกอบกับ ณ เวลานั้น ผมได้รับการขอร้องจากท่านผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงบ้านเมืองยิ่ง ให้ผมตอบคำถาม 3-4 ข้อ และคอยรับการติดต่อนัดหมายว่าจะไปพูดกันในรายละเอียดหลังจากนั้น ผมไปขอกระดาษและยืมปากกาน้องๆ ที่เต็นท์เขียนตอบคำถามทั้งหมดจบในเวลาประมาณหกโมงครึ่ง ก็คิดว่าสังขารคงจะไม่อำนวยให้ไปพูดที่เวทีทำเนียบแน่ๆ นี่คือความสัตย์จริง มิได้เกี่ยงงอนหรือน้อยใจว่าให้เวลาน้อยเกินไปแต่อย่างใด
ความจริงนั้น ผมเต็มใจที่จะพูด แต่ไม่จำเป็นก็ไม่อยากพูด เพราะความคิดของผมได้เขียนเป็นตัวหนังสือไว้หมดแล้ว ยกเว้นการไปพูดกับนิสิตนักศึกษาผมยินดีเป็นพิเศษ เนื่องจากครั้งหนึ่งเราเคยมีจิตวิญญาณเดียวกัน ถึงแม้จะเป็นคนละมิติเวลาก็ตาม ในวันที่ 26 มีนาคม 2500 ผมกับเพื่อนๆ หลายพันคนเตรียมจะแหวกด้ามปลายปืนของทหารที่สะพานมัฆวานเดียวกันนี้ เพื่อไปประท้วงนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม เดชะบุญ วีรบุรุษมัฆวาน ร.อ.อาทิตย์ กำลังเอกเปิดช่องทางให้ เราจึงสามารถเดินต่อไปพังประตูใหญ่ของทำเนียบเข้าไปนั่งกลางสนามหน้าตึกไทยคู่ฟ้าได้
เมื่อคืนวานนี้ ผมได้ให้ความคิดน้องๆ นักศึกษาว่า เราอย่าติดยึดหรือเข้าใจผิดๆว่าวีรบุรุษคือคนที่ออกหน้าหรือประกาศตนเอง ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ “สื่อไม่ได้รายงาน-นักวิชาการไม่ได้ศึกษา” โดยเฉพาะเรื่องของวีรบุรุษที่แท้จริงหรือวีรบุรุษนิรนาม อันได้แก่ประชาชนและนักศึกษาส่วนใหญ่ที่หนุนเนื่องกันมา ไม่ว่าจะเป็นที่ทำเนียบรัฐบาลหรือที่มัฆวานเวลานี้ เขาเหล่านี้ต่างหากคือวีรบุรุษที่แท้จริง เพราะเขาคือผู้บริสุทธิ์ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง พลังของเขาจึงเป็นพลังแรงที่คุ้มศัตรูให้บรรดาผู้นำได้ปราศจากเขา ผู้นำจะมีความหมายอะไร และไม่มีใครรู้ได้ว่าผู้นำแต่ละคนจะบริสุทธิ์เหมือนนักศึกษาหรือประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ หรือว่าใครจะมีวาระซ่อนเร้นอย่างไร
ผมได้เล่าให้น้องๆ ฟังถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อนักศึกษา 7 คนถูกจับพร้อมกับประพันธ์ศักดิ์ โกมลเพชร และอาจารย์ทวี หมื่นนิกร นั้น อาจารย์ธรรมศาสตร์ส่วนใหญ่ที่ดาหน้าออกมาเป็นวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ของผู้ชนะนั้น เล่นบทไม่ต่างกับผู้เป็นกลางริบบิ้นสีขาวแบบ wait and see หรือคอยดูตาม้าตาเรือเสียก่อน จนกระทั่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐกรอบเย็นวันที่ 6 ตุลาคม ระเบิดข่าวตั้งกองทุนสู้เผด็จการ ประชาชนกับนักศึกษาหลั่งไหลออกมานั่นดอก พวกเขาจึงค่อยๆ เดินลงจากหอคอยงาช้างออกมาอย่างสง่างามและมีท่วงทำนอง
การไปพูดกับนักศึกษาคืนวานซืนนี้ ผมถามเขาว่าถ้าจำเป็นจะออกมาสักห้าหมื่นได้หรือไม่ คำตอบที่ทันควันโดยไม่ถามว่าจะไปไหนหรือทำอะไรก็คือ ความมั่นใจว่า ได้ และได้แน่ๆ ความจริงผมมีความหวังลึกๆ อยู่ในใจว่า เขาควรจะพากันไปเยี่ยมตึกรัฐสภา ไม่ต้องไปปิดล้อมหรือยึดอะไรแบบนั้น แต่ไปแสดงพลังให้เห็นว่าเขารู้ทัน ถึงเวลาแล้วที่สภาผู้แทนฯ อันไร้ความชอบธรรม และขาดผลงานจะต้องเลิกเล่นละครตบตาประเทศชาติและประชาชน
พี่น้องที่เคารพรัก ผมชื่นชมในความทรหดอดทนและมุ่งมั่นของพันธมิตรฯ ที่ต่อสู้ผ่านมาได้ถึง 100 กว่าวัน ผมรู้สึกว่าทุกๆ ชั่วโมงที่ผ่านไป มีระเบิดเวลาที่พร้อมจะทำลายบ้านเมืองกำลังเดินติ๊กๆ ติ๊กๆ อยู่น่ากลัว ความกล้าหาญชาญชัยไร้ผลประโยชน์ของพี่น้องเท่านั้นจึงจะปลดชนวนระเบิดได้ ขอให้พี่น้องโชคดี
พี่น้องที่รัก ผมได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องของพี่น้องในวันที่ 9 กันยายน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สมัครตกจากเก้าอี้ไป ยินดีด้วยครับ แต่ผมขอเรียนว่า นั่นเป็นแต่เพียงสมรภูมิแห่งการรบย่อยๆ เท่านั้น หาใช่สงครามที่แท้จริงไม่ เราอาจชนะการรบในวันนั้น แต่เราอาจจะแพ้สงคราม ถ้าหากเราพากันลิงโลดและประมาท
จริงอยู่ สมัครฝันสลาย อดไป “จ้อ” ในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติปลายเดือนกันยายนนี้ ผมโล่งใจแทนประเทศไทยที่อาจเสี่ยงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน วันอาทิตย์นี้เราคงต้องคอยดูว่ากรมกร๊วกจะมี “สนทนาประสาสมัคร” หรือไม่ รวมทั้งรายการความเท็จวันนี้ของไอ้ลิงหัวเกรียน 3 ตัวด้วย แต่ที่แน่ๆ ต้องคอยดูว่าสมัครจะหนีศาลในวันที่ 25 กันยายน 2551 นี้หรือไม่
ถ้าไม่ พี่น้องที่เคารพ คำทำนายของผมที่ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีสองคนจะต้องติดคุก ก็จะเป็นจริงครึ่งหนึ่งแล้ว ไชโย แผ่เมตตา
เราต้องคอยดูกันต่อไปว่า พรรคพลังประชาชนจะพากันตบหน้าศาลหรือไม่ เรื่องนี้เราก็เห็นพลพรรคนี้สบัดฝ่ามือและผายลมกันออกมาอย่างพร้อมเพรียงแล้ว นอกจากนั้น ยังมีบทความจากนักวิชาการรับจ้างตาน้ำข้าวออกมาวิจารณ์และขุดคุ้ยศาลเป็นรายตัวทันที ไม่รอแม้แต่วันเดียวเลย นี่ไงที่ผมบอกว่าเป็นยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ของระบอบทักษิณ ว่างๆ ผมจะเอาฉบับแปลมาเสนอให้พี่น้องฟัง
สำหรับยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” นั้นสำคัญยิ่งยวด ระบอบทักษิณในฐานะผู้ถืออำนาจรัฐสามารถใช้งบประมาณแผ่นดิน ปลุกระดมรากหญ้าให้มาเชียร์สมัครที่อุดรธานีในการประชุม ครม.สัญจรที่อุดรธานีได้อย่างคับคั่ง ฟังว่ากระทรวงมหาดไทยถูกไถไป 4 ล้าน คตง.คงจะทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายมารับธงพระราชทานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ อย่างไรก็ตาม สมัครก็ได้สำเร็จภารกิจยึดฐานที่มั่นอุดรฯ ไว้เป็นเขตปลดปล่อย ในกรณีที่มีรัฐบาลอื่นคนละพวกขึ้นมาในอนาคต และในวันที่ 7 และ 8 กันยายนนั้น ได้ซักซ้อมและยืนยันยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองไว้อย่างแข็งขัน สาธุ
ผมเองไม่อยากรู้ดีไปกว่าสมัคร แต่สมัคร ด้วยอวิชชา มานะ และตัณหา คงจะไม่รู้ว่าตนเองในฐานะหัวหน้าพรรคนั้น เป็นแต่เพียงดาวข่อยหรือดาวเคราะห์ หาใช่ดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัวมาก ทักษิณต่างหากที่จะบงการให้สมัครเล่นบทเป็นขุนหรือเป็นเบี้ยก็ได้ทั้งนั้น
ถ้าทักษิณต้องการตบหน้าศาล รักษาสมัครไว้เป็นขุนในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ ก็แปลว่าทักษิณต้องการประกาศสงครามประชาชน การนองเลือดและยืดเยื้อเป็นประโยชน์ต่อระบอบทักษิณ อย่างน้อยทักษิณก็จะมีข้ออ้างในการขอลี้ภัย และในที่สุด กลียุคที่เกิดจาก “โลกล้อมประเทศ” และ “ป่าล้อมเมือง” ก็จะเชื้อเชิญให้ทักษิณกลับมาเป็นผู้แก้ไข และปราบดาภิเษก เมื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอ่อนโรยสิ้นกำลัง
พี่น้องที่เคารพ ทันทีที่ฟังคำสั่งศาลจบ ผมรีบโทรศัพท์ไปหาคุณปลั่ง มีจุล ท่านคงแปลกใจที่หลายสิบปีแล้วไม่ได้พบหรือคุยกันเลย พี่น้องอาจจะจำได้ว่า คุณปลั่งเป็นหนึ่งเดียวโดดๆ ในคณะกฤษฎีกาที่มีความเห็นว่า รัฐมนตรีหน้าหวยปฏิบัติหน้าที่มิได้ และสำนักงานกฤษฎีกาในฐานะหน่วยงานของรัฐจะต้องมีมารยาทไม่ล้ำหน้าหรือลบล้างความเห็นของศาล
ปลั่ง มีจุล คือใคร นอกจากจะเป็นหนึ่งในสองกับผมที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่ต้องพบกับนายกรัฐมนตรี สัญญา ธรรมศักดิ์ทุกวันในหน้าที่ราชการ ปลั่ง มีจุล คือเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่ยาวนานที่สุด และได้ฝึกวิทยายุทธ์มาอย่างช่ำชองกับนายมนูญ บริสุทธิ์ อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้เป็นเอตะทัคคะและผู้ประพันธ์หนังสือชื่อ “คณะรัฐมนตรี” ที่ถือเป็นปทานุกรมได้ ท่านหลังนี้นอกจากเป็นผู้บังคับบัญชา ยังเป็นพ่อตาของคุณปลั่งอีกด้วย
พี่ปลั่งไม่แปลกใจที่ผมโทร.ไปขอวิทยาทานจากท่าน และท่านก็ให้โดยไม่ลังเลใจ ผมถามพี่ปลั่งว่า รัฐบาลรักษาการของสมัครนี้ ทำอะไรได้บ้างและทำอะไรไม่ได้บ้าง พี่ปลั่งบอกว่า ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากงานประจำหรือรูตีน และจะต้องงดเว้น ไม่ทำงานสำคัญอย่างเด็ดขาด และจะต้องรู้และยึดถือมาตรฐานด้วยว่าอะไรคืองานสำคัญและไม่สำคัญ นอกจากนั้น จะต้องมีมารยาท จะต้องไม่จุ้นจ้านวางก้ามมีอำนาจ ผมเรียนพี่ปลั่งว่า รัฐบาลหอกหักซังกาบ๊วยยังงี้หรือจะมีสำนึกหรือมารยาท ผมหวังว่าจะได้ยินเสียงพี่ปลั่งว่า นั่นนะซี แต่ท่านเงียบ
จึงตกเป็นหน้าที่ของผมและของพี่น้องชาวไทยทั้งหลายที่จะต้องไม่เงียบ เราต้องระแวดระวังส่งเสียงและสำแดงพลัง ว่าเรารู้ว่ารัฐบาลนี้ พรรคการเมืองนี้ขาดความชอบธรรมมาแต่ต้น นอกจากจะฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กระทำผิดกฎหมาย ขายชาติ ขายแผ่นดินแล้ว ยังยุยงส่งเสริมให้อันธพาลในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบทำลายเข่นฆ่าประชาชน และความสงบสุขในบ้านเมือง อีกหน่อยรัฐบาลและพรรคการเมืองที่สมคบกันก่อกรรมทำเข็ญก็จะถูกศาลกวาดไปทีละพรรคๆ แต่กว่าจะถึงวันนั้น บ้านเมืองจะล่มจมฉิบหายวายวอดเสียก่อน
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รัก นิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงาน ชาวไร่ชาวนา ข้าราชการ ทหารตำรวจ พ่อค้า นักอุตสาหกรรม และผู้ที่รักชาติบ้านเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งหลาย เราจะต้องมาร่วมกันเปล่งเสียงสำแดงพลังให้พวกนักกินเมืองเหล่านี้ได้ยินว่า กูไม่ยอม และ กูไม่กลัวมึง
ขอบคุณ