xs
xsm
sm
md
lg

SCBยันรอศาลชี้โอ๊ค-เอม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บอร์ดไทยพาณิชย์มีมติรอคำวินิจฉัยของศาลปกครอง พร้อมเก็บรักษาเงินตามคำสั่งอายัดเงินฝาก "โอ๊ค-เอม" เหมือนเดิม และมอบอำนาจให้ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่มีอำนาจดำเนินการได้ตามความจำเป็น ด้านการเมืองเชื่อว่าจะไม่มีความรุนแรง อาจเป็นสงครามจิตวิทยา ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยยังมีโอกาสขยับขึ้นตาม กนง.

นายอานันท์ ปันยารชุน นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า จากกรณีกรมสรรพากรมีคําสั่งให้ธนาคารไทยพาณิชย์นําส่งเงินอายัดรายนางสาวพินทองทา ชินวัตร และนายพานทองแท้ ชินวัตร ตามที่กรมสรรพากรได้มีหนังสือคําสั่งวันที่ 22 สิงหาคม 2551 ให้ธนาคารไทยพาณิชย์นําส่งเงินอายัดรายนางสาวพินทองทา ชินวัตร และนายพานทองแท้ ชินวัตร เพื่อการชําระหนี้ภาษีอากรแก?กรมสรรพากร ซึ่งซ้ำซ้อนกับคําสั่งอายัดของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทําที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความสําคัญและมีคําสั่งจากทางการที่มีความขัดแย้งในทางปฏิบัติแก่ธนาคารซึ่งเป็นความผิดมีโทษทางอาญาได้
ดังนั้น ธนาคารจําเป?นจะต?องมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบธนาคาร จึงได้ทําคําร้องไปยังศาลปกครองตลอดจนทําหนังสือถึงสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และสํานักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอความกระจ่างในแนวทางปฏิบัติ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอคําวินิจฉัยจากศาลและคําตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมกันนี้ ธนาคารได้นําเรื่องดังกล่าวเข้าพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการธนาคาร โดยที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร ครั้งที่ 9/2551 วันที่ 28 สิงหาคม 2551พิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้ 1.รับทราบการดําเนินการที่ผ่านมาของธนาคารที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ 2.ให?รอคําวินิจฉัยของศาลปกครอง 3.ให้เก็บรักษาเงินตามคําสั่งอายัดบัญชีเงินฝากของ นางสาวพินทองทา ชินวัตร และนายพานทองแท้ ชินวัตร ไว้ที่ธนาคารต่อไปตามเดิมในระหว่างที่รอคําวินิจฉัยของศาลปกครอง 4.มอบอํานาจให้ประธานกรรมการบริหารหรือกรรมการผู้จัดการใหญ่มีอํานาจดําเนินการในเรื่องที่เกี่ยวเนื่องตามความจําเป็นและรายงานให้คณะกรรมการธนาคารทราบ
อย่างไรก็ตามธนาคารเป็นสถาบันการเงินชั้นนําของประเทศที่ยึดมั่นในการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาลและปฏิบัติตามกฎหมายมาโดยตลอดธนาคารมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและไม่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงินแต่อย่างใด ทั้งนี้ ธนาคารหวังที่จะเห็นข้อขัดแย้งในเรื่องคําสั่งของทางการมีขอยุติเมื่อศาลปกครองมีคําวินิจฉัยที่ชัดเจน
"ยังไงเราก็ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลปกครอง กรอบเวลาของเราคงไม่มี แต่เรื่องเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ เราต้องทำอะไรให้ถูกต้องตามกฎหมาย พิจารณาตามเนื้อผ้า ไม่มีความกดดันในประเด็นอื่น"
ส่วนวันนี้ได้มีตัวแทนของกระทรวงการคลังเข้ามาร่วมประชุมด้วย คือ นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร และนางพันธ์ทิพย์ สุรทิณฑ์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เนื่องจากการประชุมนี้เป็นการประชุมที่มีทุกเดือนเป็นปกติ แต่มีวาระของเรื่องนี้เข้าไปด้วย ซึ่งพอมีการหารือในวาระนี้ทางบุคคลทั้ง 2 ก็ได้ออกจากห้องประชุมซึ่งเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล และไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจหรือลงมติอะไรเลย
นายอานันท์ กล่าวอีกว่า ในที่ประชุมไม่ได้มีการนำเรื่องของการเมืองเข้าไปหารือกัน แต่อย่างไรก็ตามการทำธุรกิจของธนาคารนั้นก็ต้องมีการใส่ใจดูแลเหตุการณ์ของบ้านเมือง เศรษฐกิจและสังคมอยู่แล้ว ส่วนเหตุการณ์การชุมนุมนั้นจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของการลงทุนหรือไม่นั้นมองว่า เหตุการณ์ทางการเมืองนั้นคงไม่ได้ทำให้นักธุรกิจไม่มาลงทุนในประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาก็มีความวุ่นวายมานานแล้ว แต่น่าจะเป็นข้ออ้างในการไม่เข้ามาทำธุรกิจมากกว่า ส่วนทางออกทางการเมืองตอนนี้มองไม่ออก แต่คงไม่รุนแรง อาจะเป็นแต่สงครามจิตวิทยามากกว่า
"ที่มีข่าวออกมาว่าผมกับนายอักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุดได้เดินทางเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีข่าวออกไปยังไง เพราะช่วงเวลาที่อ้างว่าผมไปนั้น ผมนั่งร่วมโต๊ะเสวยอยู่ในงาน 50 ปี อิตัลไทย"
ส่วนการชะลอตัวของเศรษฐกิจนั้นมาจากปัจจัยภายนอกประเทศมากกว่า คือเรื่องของปัญหาสินเชื่อสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ในประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงปัญหาราคาน้ำมันแพง ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจและมีผลทำให้ศรษฐกิจทั่วโลกชะงัก
ด้านนายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นการดูแลในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ ส่วนทิศทางในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเป็นอย่างไรดูได้ลำบากคงต้องติดตามเรื่องของราคาน้ำมัน เนื่องจากในปัจจุบันราคาน้ำมันเริ่มทรงตัวแต่ไม่สามารถประเมินได้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร และอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้ก็ยังอยู่ในระดับที่สูง
สำหรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้น คงจะต้องขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานรวมถึงการแข่งขันด้วยซึ่งขณะนี้ไม่ยืนยันว่าธนาคารไทยพาณิชย์จะเป็นผู้นำตลาดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่.
กำลังโหลดความคิดเห็น