แฟนพันธุ์แท้ละครเวทีระดับกลางโดนพิษเศรษฐกิจเล่นงาน “เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์” ขายตั๋วราคา 1,000-1,500 บาท ยากขึ้น เปลี่ยนแผนปรับราคาที่นั่งใหม่ รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เผยรายได้จากการผลิตละครเวทีต่อเรื่องยังไปได้ดีอยู่ แม้ครึ่งปีหลังอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง โดยทั้งปีรายได้รวมทั้งซีเนริโอและเอ็กแซกท์รวมกัน คาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก 10-20% จาก 200 กว่าล้านบาทในปีก่อน
นายถกลเกียรติ วีรวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด และบริษัท ซีเนริโอ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่เข้ามาดำเนินธุรกิจโรงละครเมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ และผลิตละครเวทีตั้งแต่ช่วงเดือนพ.ค.-ธ.ค.ของปีผ่านมา พบว่า การตอบรับและรายได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ แต่ในปีนี้ เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และราคาน้ำมันที่ขยับตัวเพิ่มสูงขึ้น พบว่าส่งผลกระทบโดยตรงกับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อบัตรในราคา 1,000-1,500 บาท ที่ขายได้น้อยลงจากปีก่อนประมาณ 40% ซึ่งกลุ่มผู้ชมที่ซื้อบัตรในราคาดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มคนเริ่มทำงาน ที่ยังมีรายได้น้อยอยู่ เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจโดยตรง
จากเดิมในปีก่อน กลุ่มราคาบัตรดังกล่าวจะเป็นกลุ่มที่ขายดีที่สุด แต่ในปีนี้กลุ่มที่ขายดีสุด คือ 2,000-2,500บาท ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว บวกกับการวิจัยที่ทำขึ้นพบว่าราคาบัตรยังแพงอยู่ ปีนี้ทางบริษัทฯได้มีการปรับราคาที่นั่งขึ้นใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 6 ระดับราคา คือ 500 บาท ,1,000 บาท ,1,500 บาท ,2,000 บาท ,2,500 บาท และ3,000 บาท โดยในส่วนของบัตรราคา 1,000-1,500 บาท ลดจำนวนลง และเพิ่มบัตรราคา 3,000 บาท เข้ามา รวมถึงจำหน่ายบัตรล่วงหน้านานขึ้น 3 เดือน จากเดิม 2 เดือน โดยกลยุทธ์ดังกล่าวถือเป็นการปรับราคา ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์เมมเบอร์การ์ด “R-Card” ซึ่งมีฐานสมาชิกแล้วประมาณ 3,000 ราย กับกิจกรรมสะสมแต้ม รวมถึงกลยุทธ์การหาสปอนเซอร์ชิฟ ที่สามารถสร้างรายได้ประมาณ 5% ของรายได้จากละครในแต่ละเรื่อง
นายถกลเกียรติ กล่าวต่อว่า ธุรกิจโรงละครเพียงอย่างเดียว ถือว่าอยู่ได้ยาก ยิ่งมีการลงทุนสูงแต่รายได้ที่มามีเพียงให้เช่า ทางบริษัทฯเองจึงต้องมีการผลิตละครเวทีเข้ามาร่วมด้วย ดังนั้นมองว่า จากเดิมถ้าเพียงโรงละครอย่างเดียวกับการลงทุนกว่า 500 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนใน 10-12ปี แต่เมื่อมีการผลิตละครเวทีเข้ามาช่วย เชื่อว่าคุ้มทุนเร็วขึ้น ในเวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น
โดยต่อปีบริษัทฯมีแผนผลิตละครเวทีเฉลี่ยประมาณ 3 เรื่อง ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีเรื่อง ก่อนจะถึงบางรักซอย9, สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ และที่กำลังเปิดการแสดงอยู่คือ ข้างหลังภาพ ขณะที่ช่วงปลายปี จะมีคอนเสิร์ต 3หนุ่ม3ไมค์ และคอนเสิร์ต 25 ปีแกรมมี่ รวมถึงความร่วมมือกับทางบีอีซีเทโร ในการนำละครเวทีจากต่างประเทศเข้ามาแสดงด้วย
ส่วนปีก่อนบริษัทฯมีการผลิตละครเวทีขึ้น 3 เรื่อง คือ ฟ้าจรดทราย, ลูกคุณหลวง และบัลลังก์เมฆ รวมถึงร่วมกับบีอีซีเทโร นำเข้าละครเวทีเรื่องแคท ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ มีการลงทุนด้านโปรดักส์ชั่นแตกต่างกัน และมีทาร์เก็ตกรุ้ปที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วถือว่า รายได้เป็นไปตามเป้า
“การทำละครเวที มองว่าไม่ควรที่จะจับกลุ่มเป้าหมายเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี ทั้งนี้เพื่อที่จะทำให้ฐานผู้ชมมีมากขึ้น แต่เป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับธุรกิจดังกล่าว ดังนั้นจะเห็นว่า เราไม่ได้ทำละครเวทีในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่จะมีความหลากหลาย ซึ่งบางเรื่องยอมรับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทั้งจำนวนรอบที่แสดง และการจำหน่ายบัตรเข้าชม อย่าง ฟ้าจรดทราย ที่ทำการแสดงได้กว่า 53 รอบ จำหน่ายบัตรเข้าชมได้มากกว่า 80% แต่บางเรื่องก็ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้” นายถกลเกียรติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม รายได้ของเมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ และการผลิตละครเวที คิดเป็น 25% ของรายได้ในบริษัท ซีเนริโอ จำกัด ซึ่งเมื่อรวมรายได้ของซีเนริโอและเอ็กแซ็กท์ เข้าด้วยกัน ปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตขึ้น 10-20% จาก 200 กว่าล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่มาจากละครโทรทัศน์ ที่ขายโฆษณาได้มากขึ้น
นายถกลเกียรติ วีรวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด และบริษัท ซีเนริโอ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่เข้ามาดำเนินธุรกิจโรงละครเมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ และผลิตละครเวทีตั้งแต่ช่วงเดือนพ.ค.-ธ.ค.ของปีผ่านมา พบว่า การตอบรับและรายได้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ แต่ในปีนี้ เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และราคาน้ำมันที่ขยับตัวเพิ่มสูงขึ้น พบว่าส่งผลกระทบโดยตรงกับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อบัตรในราคา 1,000-1,500 บาท ที่ขายได้น้อยลงจากปีก่อนประมาณ 40% ซึ่งกลุ่มผู้ชมที่ซื้อบัตรในราคาดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มคนเริ่มทำงาน ที่ยังมีรายได้น้อยอยู่ เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจโดยตรง
จากเดิมในปีก่อน กลุ่มราคาบัตรดังกล่าวจะเป็นกลุ่มที่ขายดีที่สุด แต่ในปีนี้กลุ่มที่ขายดีสุด คือ 2,000-2,500บาท ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว บวกกับการวิจัยที่ทำขึ้นพบว่าราคาบัตรยังแพงอยู่ ปีนี้ทางบริษัทฯได้มีการปรับราคาที่นั่งขึ้นใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 6 ระดับราคา คือ 500 บาท ,1,000 บาท ,1,500 บาท ,2,000 บาท ,2,500 บาท และ3,000 บาท โดยในส่วนของบัตรราคา 1,000-1,500 บาท ลดจำนวนลง และเพิ่มบัตรราคา 3,000 บาท เข้ามา รวมถึงจำหน่ายบัตรล่วงหน้านานขึ้น 3 เดือน จากเดิม 2 เดือน โดยกลยุทธ์ดังกล่าวถือเป็นการปรับราคา ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์เมมเบอร์การ์ด “R-Card” ซึ่งมีฐานสมาชิกแล้วประมาณ 3,000 ราย กับกิจกรรมสะสมแต้ม รวมถึงกลยุทธ์การหาสปอนเซอร์ชิฟ ที่สามารถสร้างรายได้ประมาณ 5% ของรายได้จากละครในแต่ละเรื่อง
นายถกลเกียรติ กล่าวต่อว่า ธุรกิจโรงละครเพียงอย่างเดียว ถือว่าอยู่ได้ยาก ยิ่งมีการลงทุนสูงแต่รายได้ที่มามีเพียงให้เช่า ทางบริษัทฯเองจึงต้องมีการผลิตละครเวทีเข้ามาร่วมด้วย ดังนั้นมองว่า จากเดิมถ้าเพียงโรงละครอย่างเดียวกับการลงทุนกว่า 500 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนใน 10-12ปี แต่เมื่อมีการผลิตละครเวทีเข้ามาช่วย เชื่อว่าคุ้มทุนเร็วขึ้น ในเวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น
โดยต่อปีบริษัทฯมีแผนผลิตละครเวทีเฉลี่ยประมาณ 3 เรื่อง ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีเรื่อง ก่อนจะถึงบางรักซอย9, สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ และที่กำลังเปิดการแสดงอยู่คือ ข้างหลังภาพ ขณะที่ช่วงปลายปี จะมีคอนเสิร์ต 3หนุ่ม3ไมค์ และคอนเสิร์ต 25 ปีแกรมมี่ รวมถึงความร่วมมือกับทางบีอีซีเทโร ในการนำละครเวทีจากต่างประเทศเข้ามาแสดงด้วย
ส่วนปีก่อนบริษัทฯมีการผลิตละครเวทีขึ้น 3 เรื่อง คือ ฟ้าจรดทราย, ลูกคุณหลวง และบัลลังก์เมฆ รวมถึงร่วมกับบีอีซีเทโร นำเข้าละครเวทีเรื่องแคท ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้ มีการลงทุนด้านโปรดักส์ชั่นแตกต่างกัน และมีทาร์เก็ตกรุ้ปที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วถือว่า รายได้เป็นไปตามเป้า
“การทำละครเวที มองว่าไม่ควรที่จะจับกลุ่มเป้าหมายเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี ทั้งนี้เพื่อที่จะทำให้ฐานผู้ชมมีมากขึ้น แต่เป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับธุรกิจดังกล่าว ดังนั้นจะเห็นว่า เราไม่ได้ทำละครเวทีในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่จะมีความหลากหลาย ซึ่งบางเรื่องยอมรับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทั้งจำนวนรอบที่แสดง และการจำหน่ายบัตรเข้าชม อย่าง ฟ้าจรดทราย ที่ทำการแสดงได้กว่า 53 รอบ จำหน่ายบัตรเข้าชมได้มากกว่า 80% แต่บางเรื่องก็ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้” นายถกลเกียรติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม รายได้ของเมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ และการผลิตละครเวที คิดเป็น 25% ของรายได้ในบริษัท ซีเนริโอ จำกัด ซึ่งเมื่อรวมรายได้ของซีเนริโอและเอ็กแซ็กท์ เข้าด้วยกัน ปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตขึ้น 10-20% จาก 200 กว่าล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่มาจากละครโทรทัศน์ ที่ขายโฆษณาได้มากขึ้น