เอเอฟพี - ประธานาธิบดีมาห์มุด อาหมัดดิเนจัด แห่งอิหร่าน ให้สัมภาษณ์เครือข่ายโทรทัศน์ในสหรัฐฯ ที่แพร่ภาพออกอากาศเมื่อวันจันทร์ (28) ว่า หากสหรัฐฯ นำเอาแนวนโยบายใหม่เกี่ยวกับอิหร่านมาใช้อย่างแท้จริง อิหร่านก็จะตอบรับในทางบวก แต่เขาก็ยืนกรานเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ แม้ยืนยันว่าไม่ต้องการมีระเบิด"นุก"
"ขณะนี้เราเห็นว่าทั้งสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ เองได้เปลี่ยนท่าทีไปจากเดิมแล้ว แต่คำถามของผมก็คือว่า ท่าทีดังกล่าวนี้มาจากแนวนโยบายใหม่จริงหรือไม่" อาหมัดดิเนจัดให้สัมภาษณ์กับเครือข่ายโทรทัศน์เอ็นบีซีจากกรุงเตหะรานโดยผ่านล่ามผู้หนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วเขาจะมักไม่ยอมให้สถานีโทรทัศน์สหรัฐฯ สัมภาษณ์
"พูดอีกอย่างก็คือ นี่คือความนับถือซึ่งกันและกัน การประสานความร่วมมือ และความยุติธรรมใช่หรือไม่ หรือว่าแนวนโยบายใหม่ที่ว่านี้จะเป็นขั้นต่อไปของการเผชิญหน้ากับชาวอิหร่าน แต่แปลงรูปโฉมเสียใหม่?"
เขากล่าวอีกว่าหากท่าทีใหม่ของสหรัฐฯ แสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง "เราก็จะเข้าสู่สถานการณ์ใหม่ และการตอบรับจากประชาชนชาวอิหร่านจะเป็นไปในทางบวก"
การแสดงความเห็นของอาหมัดดิเนจัดมีขึ้น ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ดำเนินมาตรการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยการส่งเจ้าหน้าที่การทูตระดับสูงเข้าร่วมในการประชุมระหว่างสหภาพยุโรปและชาติมหาอำนาจ คือ จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมนี กับหัวหน้าตัวแทนเจรจาปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่เมืองเจนีวาเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ทว่าเมื่อวันเสาร์(26)ที่แล้ว อาหมัดดิเนจัดเพิ่งประกาศว่าอิหร่านได้เพิ่มจำนวนเครื่องปั่นเหวี่ยงตะกอนเพิ่มความเข้มข้นของแร่ยูเรเนียมป็น 6,000 เครื่อง เพื่อขยายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นการฝ่าฝืนข้อเรียกร้องจากนานาชาติให้ระงับโครงการดังกล่าว
อาหมัดดิเนจัดกล่าวย้ำในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดด้วยว่า "เราไม่ได้กำลังผลิตระเบิดนิวเคลียร์ และไม่ได้คิดเรื่องระเบิดนิวเคลียร์" อีกทั้งยังเสริมด้วยว่าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่าการมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองไม่ได้ช่วยให้ประเทศนั้นๆ บรรลุเป้าหมายทางการเมืองแต่อย่างใด
"ระเบิดนิวเคลียร์เป็นเรื่องของศตวรรษที่ 20 แต่เรากำลังอยู่ในศตวรรษใหม่แล้ว" เขาระบุด้วยว่าทุกประเทศควรใช้พลังงานนิวเคลียร์ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด "แต่ไม่ควรมีใครที่มีระเบิดชนิดนี้ไว้"
อย่างไรก็ตาม โฆษกทำเนียบขาวยังคงสงสัยอย่างยิ่งต่อน้ำเสียงที่แสดงมิตรไมตรีของอาหมัดดิเนจัดในครั้งนี้ โดยเฉพาะต่อการที่ประธานาธิบดีอิหร่านแสดงท่าทีอย่างหนึ่งในวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่กลับพูดกับสื่อมวลชนอีกอย่างหนึ่งในวันจันทร์
ขณะเดียวกัน กำหนดเส้นตายสองสัปดาห์ที่ชาติผู้นำโลกต้องการให้อิหร่านตอบว่าจะยอมรับความช่วยเหลือด้านต่างๆ และกับการยอมระงับโครงการนิวเคลียร์หรือไม่ ก็จะมาถึงในวันเสาร์(2ส.ค.)นี้แล้ว
"ขณะนี้เราเห็นว่าทั้งสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ เองได้เปลี่ยนท่าทีไปจากเดิมแล้ว แต่คำถามของผมก็คือว่า ท่าทีดังกล่าวนี้มาจากแนวนโยบายใหม่จริงหรือไม่" อาหมัดดิเนจัดให้สัมภาษณ์กับเครือข่ายโทรทัศน์เอ็นบีซีจากกรุงเตหะรานโดยผ่านล่ามผู้หนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วเขาจะมักไม่ยอมให้สถานีโทรทัศน์สหรัฐฯ สัมภาษณ์
"พูดอีกอย่างก็คือ นี่คือความนับถือซึ่งกันและกัน การประสานความร่วมมือ และความยุติธรรมใช่หรือไม่ หรือว่าแนวนโยบายใหม่ที่ว่านี้จะเป็นขั้นต่อไปของการเผชิญหน้ากับชาวอิหร่าน แต่แปลงรูปโฉมเสียใหม่?"
เขากล่าวอีกว่าหากท่าทีใหม่ของสหรัฐฯ แสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง "เราก็จะเข้าสู่สถานการณ์ใหม่ และการตอบรับจากประชาชนชาวอิหร่านจะเป็นไปในทางบวก"
การแสดงความเห็นของอาหมัดดิเนจัดมีขึ้น ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ดำเนินมาตรการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยการส่งเจ้าหน้าที่การทูตระดับสูงเข้าร่วมในการประชุมระหว่างสหภาพยุโรปและชาติมหาอำนาจ คือ จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมนี กับหัวหน้าตัวแทนเจรจาปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่าน ที่เมืองเจนีวาเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ทว่าเมื่อวันเสาร์(26)ที่แล้ว อาหมัดดิเนจัดเพิ่งประกาศว่าอิหร่านได้เพิ่มจำนวนเครื่องปั่นเหวี่ยงตะกอนเพิ่มความเข้มข้นของแร่ยูเรเนียมป็น 6,000 เครื่อง เพื่อขยายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นการฝ่าฝืนข้อเรียกร้องจากนานาชาติให้ระงับโครงการดังกล่าว
อาหมัดดิเนจัดกล่าวย้ำในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดด้วยว่า "เราไม่ได้กำลังผลิตระเบิดนิวเคลียร์ และไม่ได้คิดเรื่องระเบิดนิวเคลียร์" อีกทั้งยังเสริมด้วยว่าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่าการมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองไม่ได้ช่วยให้ประเทศนั้นๆ บรรลุเป้าหมายทางการเมืองแต่อย่างใด
"ระเบิดนิวเคลียร์เป็นเรื่องของศตวรรษที่ 20 แต่เรากำลังอยู่ในศตวรรษใหม่แล้ว" เขาระบุด้วยว่าทุกประเทศควรใช้พลังงานนิวเคลียร์ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด "แต่ไม่ควรมีใครที่มีระเบิดชนิดนี้ไว้"
อย่างไรก็ตาม โฆษกทำเนียบขาวยังคงสงสัยอย่างยิ่งต่อน้ำเสียงที่แสดงมิตรไมตรีของอาหมัดดิเนจัดในครั้งนี้ โดยเฉพาะต่อการที่ประธานาธิบดีอิหร่านแสดงท่าทีอย่างหนึ่งในวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่กลับพูดกับสื่อมวลชนอีกอย่างหนึ่งในวันจันทร์
ขณะเดียวกัน กำหนดเส้นตายสองสัปดาห์ที่ชาติผู้นำโลกต้องการให้อิหร่านตอบว่าจะยอมรับความช่วยเหลือด้านต่างๆ และกับการยอมระงับโครงการนิวเคลียร์หรือไม่ ก็จะมาถึงในวันเสาร์(2ส.ค.)นี้แล้ว
