เมื่อเวลา 15.00 น. วานนี้ (7 ก.ค.) ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งในคดีที่นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ วิพากษ์ละเมิดอำนาจศาล กรณีที่ศาลปกครองได้มีคำสั่งคุ้มครอง ระงับมติครม.ที่ปลดนพ.วิชัย โชควิวัฒน และพวกรวม 5 คน ออกจากประธานกรรมการ และกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม โดยศาลได้เรียกนายไชยา พร้อมด้วยนายสุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ มติชน นาย ณ กาฬ เลาหะไลย บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน มารับฟังคำสั่ง ซึ่งศาลระบุว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริง นายไชยา ให้การยอมรับว่า เป็นผู้ให้สัมภาษณ์ ตามที่ได้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับจริง แต่ไม่เจตนาที่จะก้าวล่วงวิพากษ์วิจารณ์การใช้ดุลพินิจของศาลแต่อย่างใด เพราะเป็นความเคารพ และเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด โดยเฉพาะศาลปกครอง หากถ้อยคำที่ปรากฎในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว เป็นการก้าวล่วงอำนาจศาล ก็ขอประทานอภัย และขอความกรุณาจากศาลด้วย
ส่วนบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับให้การตรงกันว่า ได้ลงถ้อยคำสัมภาษณ์ของนายไชยา ในหนังสือพิมพ์วันที่ 27 มิ.ย. จริง จึงถือว่าคำให้การทั้งของนายไชยา และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับ สอดคล้องกัน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามมาตรา 65 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 บัญญัติว่า ผู้ใดวิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาคดีของศาลปกครองโดยสุจริต ด้วยวิธีการทางวิชาการ ผู้นั้นถือว่าไม่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล หรือดูหมิ่นตุลาการ แต่นายไชยา ดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับกระทรวง การกล่าวหรือกระทำใดๆ ย่อมอยู่ในความสนใจของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งการกล่าวข้อความตามที่ปรากฏในสื่อนั้น เป็นการกล่าวในที่สาธารณะซึ่งมีบุคคลอื่นอยู่ด้วย และย่อมทำให้บุคคลที่ได้ยินคำกล่าวนั้นเชื่อว่า เป็นจริง และอาจทำให้เกิดการดูหมิ่นเหยียดหยาม การพิจารณาคดี การพิพากษาคดีของศาลปกครองได้ รวมถึงข้อความดังกล่าว ก็ไม่ได้ให้เหตุผลทางวิชาการ จึงไม่ใช่การให้ความเห็น หรือวิจารณ์คดีของศาลโดยสุจริต ด้วยวิธีการทางวิชาการ ถือเป็นการกระทำเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล สมควรลงโทษปรับในอัตราสูงสุด ตามมาตรา 64 วรรค 1 (3) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ ให้ปรับเป็นเงิน 5 หมื่นบาท แต่เนื่องจากนายไชยา ได้สำนึกในการกระทำผิดดังกล่าว และขออภัยต่อศาลแล้ว จึงสมควรลดหย่อนผ่อนโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับเป็นเงิน 25,000 บาท
สำหรับบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับ ศาลเห็นว่า เป็นการกระทำผิดครั้งแรก และได้แถลงยอมรับต่อศาลในการไต่สวน จึงสมควรกำหนดโทษตัดเตือน มีตำหนิเป็นลักษณ์อักษร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากการฟังคำสั่งศาลเสร็จ นายไชยา พร้อมทีมทนายความรีบไปชำระค่าปรับต่อพนักงานคดี พร้อมกล่าวขอบคุณศาลที่เมตตา ทั้งนี้ การที่ศาลสั่งปรับเงินนายไชยา ครั้งนี้ ถือเป็นคดีแรกที่ศาลปกครองมีคำสั่งปรับเงินในคดีที่เป็นการละเมิดศาล
นายไชยา กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินกรณีภรรยาถือหุ้นเกินร้อยละ 5 นั้น คงไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเอง ซึ่งมาจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่ได้พบ และหารือกัน กับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพียงแต่ฝากบ่ะจาง ไปให้รับประทาน ซึ่งท่านก็แสดงความเป็นห่วงทุกคน ไม่เฉพาะตนเพียงคนเดียว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนเดินทางไปฟังคำพิพากษาศาลปกครอง นายไชยา ได้นัดรับประทานอาหารกลางวัน ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง พร้อมกล่าวว่า เป็นการนัดรับประทานอาหารล่วงหน้า ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะนัดแถลงคำวินิจฉัยคุณสมบัติรัฐมนตรี กรณีภรรยาถือหุ้นเกินร้อยละ 5 ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ เวลา 15.00 น.
นายไชยา กล่าวว่า งานในกระทรวงก็ไม่มีอะไร ทุกคนมีหน้าที่ก็ต้องทำต่อไป และหน้าที่ใครรับผิดชอบอะไร ต้องทำให้ดี ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีนั้น ก็ต้องรอรับคำพิพากษา หากผลออกมาเป็นอย่างไร ก็ต้องยอมรับ
ส่วนบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับให้การตรงกันว่า ได้ลงถ้อยคำสัมภาษณ์ของนายไชยา ในหนังสือพิมพ์วันที่ 27 มิ.ย. จริง จึงถือว่าคำให้การทั้งของนายไชยา และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับ สอดคล้องกัน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามมาตรา 65 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 บัญญัติว่า ผู้ใดวิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาคดีของศาลปกครองโดยสุจริต ด้วยวิธีการทางวิชาการ ผู้นั้นถือว่าไม่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล หรือดูหมิ่นตุลาการ แต่นายไชยา ดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับกระทรวง การกล่าวหรือกระทำใดๆ ย่อมอยู่ในความสนใจของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งการกล่าวข้อความตามที่ปรากฏในสื่อนั้น เป็นการกล่าวในที่สาธารณะซึ่งมีบุคคลอื่นอยู่ด้วย และย่อมทำให้บุคคลที่ได้ยินคำกล่าวนั้นเชื่อว่า เป็นจริง และอาจทำให้เกิดการดูหมิ่นเหยียดหยาม การพิจารณาคดี การพิพากษาคดีของศาลปกครองได้ รวมถึงข้อความดังกล่าว ก็ไม่ได้ให้เหตุผลทางวิชาการ จึงไม่ใช่การให้ความเห็น หรือวิจารณ์คดีของศาลโดยสุจริต ด้วยวิธีการทางวิชาการ ถือเป็นการกระทำเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล สมควรลงโทษปรับในอัตราสูงสุด ตามมาตรา 64 วรรค 1 (3) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ ให้ปรับเป็นเงิน 5 หมื่นบาท แต่เนื่องจากนายไชยา ได้สำนึกในการกระทำผิดดังกล่าว และขออภัยต่อศาลแล้ว จึงสมควรลดหย่อนผ่อนโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับเป็นเงิน 25,000 บาท
สำหรับบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับ ศาลเห็นว่า เป็นการกระทำผิดครั้งแรก และได้แถลงยอมรับต่อศาลในการไต่สวน จึงสมควรกำหนดโทษตัดเตือน มีตำหนิเป็นลักษณ์อักษร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากการฟังคำสั่งศาลเสร็จ นายไชยา พร้อมทีมทนายความรีบไปชำระค่าปรับต่อพนักงานคดี พร้อมกล่าวขอบคุณศาลที่เมตตา ทั้งนี้ การที่ศาลสั่งปรับเงินนายไชยา ครั้งนี้ ถือเป็นคดีแรกที่ศาลปกครองมีคำสั่งปรับเงินในคดีที่เป็นการละเมิดศาล
นายไชยา กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินกรณีภรรยาถือหุ้นเกินร้อยละ 5 นั้น คงไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเอง ซึ่งมาจนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่ได้พบ และหารือกัน กับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพียงแต่ฝากบ่ะจาง ไปให้รับประทาน ซึ่งท่านก็แสดงความเป็นห่วงทุกคน ไม่เฉพาะตนเพียงคนเดียว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนเดินทางไปฟังคำพิพากษาศาลปกครอง นายไชยา ได้นัดรับประทานอาหารกลางวัน ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง พร้อมกล่าวว่า เป็นการนัดรับประทานอาหารล่วงหน้า ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะนัดแถลงคำวินิจฉัยคุณสมบัติรัฐมนตรี กรณีภรรยาถือหุ้นเกินร้อยละ 5 ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ เวลา 15.00 น.
นายไชยา กล่าวว่า งานในกระทรวงก็ไม่มีอะไร ทุกคนมีหน้าที่ก็ต้องทำต่อไป และหน้าที่ใครรับผิดชอบอะไร ต้องทำให้ดี ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีนั้น ก็ต้องรอรับคำพิพากษา หากผลออกมาเป็นอย่างไร ก็ต้องยอมรับ