วานนี้ ( 26 มิ.ย.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวหลังการประชุม กกต.ว่า กกต.มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่พนักงานของสำนักงาน กกต. 2 ราย ที่ถูกกล่าวหาว่าจัดทำเอกสาร ขอตรวจสอบการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ พยานปากสำคัญในคดีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน โดยการปลอมลายมือชื่อของ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ผอ.สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 และแจ้งผลการตรวจสอบสมาชิกพรรคการเมืองของ นายชัยวัฒน์ ให้แก่ทนายความของนายยงยุทธ เพื่อนำไปยื่นศาลฎีกา ซึ่งเป็นการ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบของสำนักงานกกต. อันเป็นเหตุให้เกิดความ เสียหายแก่สำนักงานกกต.อย่างร้ายแรง โดยหากสอบสวนพาดพิงถึงการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของพนักงานผู้อื่นก็ให้มีอำนาจสอบสวนในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
นอกจากนี้สำนักงานกกต.กำลังเร่งสอบสวนข้อเท็จจริงประเด็นที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งข้อสังเกตกรณีที่ด้านกิจการพรรคการเมือง และการออกเสียงประชามติ ของ กกต. ชี้แจงผลการตรวจสอบข้อมูลการเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ของนายชัยวัฒน์ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 และวันที่ 15 พฤษภาคม 2551 ไม่ตรงกัน และสงสัยว่าจะมีการปกปิดข้อมูลหรือแก้ไขเพิ่มเติม ข้อมูลเพื่อประโยชน์ทางคดีแก่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ทั้งนี้ทางสำนักงาน กกต.จะเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จโดยเร็ว และเสนอที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับเหตุผลของการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงฯ ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มีนายปกครอง สุนทรสุทธิ์ เป็นประธานฯ ได้สรุปแจ้งต่อที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า พบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารจริง ดังนั้นการประชุม กกต.เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา จึงมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับ ว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ เชียงใหม่ เจ้าพนักงานฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 10 ที่ให้การยอมรับว่าได้เป็นปลอมลายเซ็น และว่าที่ ร.ต.เอกลักษณ์ บุญรุ่ง พนักงานฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 9 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่นำเอกสาร ขอตรวจสอบการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์ ไปยื่นต่อนางสุนทรี ไพรหิรัญ ผอ.ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง ซึ่งจะต้องได้รับโทษ ความผิดวินัยร้ายแรงมีเพียง 2 ทาง คือ ไล่ออก หรือปลดออก โดยคณะกรรมการสอบวินัยขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาแต่งตั้ง จึงไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะมีใครทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการสอบสวน
นอกจากนี้สำนักงานกกต.กำลังเร่งสอบสวนข้อเท็จจริงประเด็นที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งข้อสังเกตกรณีที่ด้านกิจการพรรคการเมือง และการออกเสียงประชามติ ของ กกต. ชี้แจงผลการตรวจสอบข้อมูลการเป็นสมาชิก พรรคประชาธิปัตย์ของนายชัยวัฒน์ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 และวันที่ 15 พฤษภาคม 2551 ไม่ตรงกัน และสงสัยว่าจะมีการปกปิดข้อมูลหรือแก้ไขเพิ่มเติม ข้อมูลเพื่อประโยชน์ทางคดีแก่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ทั้งนี้ทางสำนักงาน กกต.จะเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จโดยเร็ว และเสนอที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับเหตุผลของการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงฯ ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มีนายปกครอง สุนทรสุทธิ์ เป็นประธานฯ ได้สรุปแจ้งต่อที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า พบว่ามีการปลอมแปลงเอกสารจริง ดังนั้นการประชุม กกต.เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา จึงมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับ ว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ เชียงใหม่ เจ้าพนักงานฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 10 ที่ให้การยอมรับว่าได้เป็นปลอมลายเซ็น และว่าที่ ร.ต.เอกลักษณ์ บุญรุ่ง พนักงานฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 9 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่นำเอกสาร ขอตรวจสอบการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์ ไปยื่นต่อนางสุนทรี ไพรหิรัญ ผอ.ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง ซึ่งจะต้องได้รับโทษ ความผิดวินัยร้ายแรงมีเพียง 2 ทาง คือ ไล่ออก หรือปลดออก โดยคณะกรรมการสอบวินัยขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาแต่งตั้ง จึงไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะมีใครทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการสอบสวน
