โค้งสุดท้ายก่อนที่การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษประจำฤดูกาลนี้จะจบลงไปในสุดสัปดาห์นี้ นอกจากจะมีแฟนบอลทั่วไปจ้องติดตามการขับเคี่ยวกันระหว่างทีมลุ้นแชมป์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลชี อย่างเข้มข้นแล้ว เรื่องของ ‘แมนเชสเตอร์ ซิตี’ สโมสรที่เป็นสมบัติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็กลายเป็นเรื่องที่ทั้งคนไทยที่แม้ไม่เคยดูฟุตบอลก็ต่างให้ความสนใจ
แมนเชสเตอร์ ซิตี หรือแมนฯ ซิตี ตกเป็นข่าวใหญ่ในสองประเด็น คือ กรณีมีผู้นำธงชาติไทยไปแขวนไว้ในสนามโดยมีชื่อของพ.ต.ท.ทักษิณ ปักอยู่ในผืนธง และสอง กระแสข่าวการจะปลด สเวน โกรัน อีริคส์สัน ผู้จัดการทีมให้พ้นจากตำแหน่งของเจ้าของสโมสรคนไทย
กรณีแรก หลังจากค่าย ‘มติชน’ ตีพิมพ์ภาพและข่าว และหลายสื่อร่วมรายงานในเวลาต่อมาก็มีผู้วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และนำไปสู่การแจ้งความเพื่อให้มีการดำเนินการตามกฎหมาย
การวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวของคนที่ทราบข่าวนี้ หากเป็นคนปกติ ไม่มีความคิดเพี้ยนๆ (สำนวนภาษาที่นายจักรภพ เพ็ญแข มักใช้เรียกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล) ย่อมเชื่อเต็มหัวใจว่า มาจากพื้นฐานของ ‘จิตสำนึก’ ความเป็นคนไทยที่รักชาติ รักสถาบัน!
การตั้งคำถามถึงความเหมาะสม การกระทำอันไม่บังควรต่อผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ในวันเกิดเหตุก็นั่งชมเกมในสนามอยู่ด้วยจึงเป็นเรื่องที่ควรกระทำ หาใช่ประเด็นเรื่องของการจ้องทำลายกันอย่างที่ฝ่าย ‘นอมินี’ พยายามแก้ต่างแทนนาย กลบเกลื่อน เบี่ยงประเด็นแน่นอน
ตัวอย่างของ นายเจริญ มุกขจร ชาวจังหวัดอุดรธานี ที่ได้ส่ง Email สอบถามไปยัง นายอลิสแตร์ แมคคินทอช (Mr.Alistair Mackintosh) ประธานกรรมการบริหารสโมสร หรือซีอีโอ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในเรื่องที่ว่า 1. ใครเป็นคนสั่งให้ติดธงชาติไทยที่มีชื่อที่ไม่เหมาะสมติดอยู่บนอัฒจันทร์ของสนาม 2. การติดตั้งโฆษณาบริเวณดังกล่าวต้องจ่ายเงินจำนวนเท่าไร 3. ขอทราบอัตราค่าโฆษณาของสนาม และ 4. ใครเป็นคนอนุมัติให้ติดตั้งธงดังกล่าวในสนาม
กรณีนี้ นอกจากน่าชื่นชมยิ่งแล้วยังตอกย้ำ ‘หน้าที่พลเมืองไทย’ ให้ผู้มีอำนาจบริหารประเทศที่ไม่อินังขังขอบกับเรื่องราว พูดทีไรก็ยังย้ำแทนนายว่า จะชี้แจงได้ ไม่อาย
แม้ว่าในเวลาต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ จะชี้แจงเรื่องนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิในวันที่เขาเดินทางกลับเข้าประเทศเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “มันเป็นเรื่องที่วัฒนธรรมทางโน้นเขาไม่ถือ เขาก็เลยไม่รู้ จึงทำไปด้วยความปรารถนาดี แต่พอเราบอก เขาก็เสียใจ และเขาก็หยุด”...เรื่องนี้ก็คงไม่หยุดลง หรือ จบง่ายๆ
เบื้องต้นนั้น เหตุผลนี้ฟังขึ้นหรือไม่?อย่างไร? ก็คงเป็นดุลพินิจของแต่ละคนจะพิจารณา แต่สำหรับคนที่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับ ‘ระบอบทักษิณ’ ติดตามพฤติกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ มาต่อเนื่องแทบไม่ต้องรอให้ใครบอกก็...รู้ๆ กันอยู่ว่า กรณีเช่นนี้บ่งบอกถึง ‘จิตสำนึก’ ของใครบางคนนั้นบกพร่องแค่ไหน!
ช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ คนไทยจำนวนมากทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเช่นไร แต่กับ ‘ต่างชาติ’ แฟนบอลแมนฯ ซิตีอาจจะเพิ่งรู้ ซึ่งเป็นที่มาของประเด็นใหญ่ที่พวกเขากำลังให้ความสนใจในขณะนี้
นั่นคือ พฤติกรรมการบริหารทีมฟุตบอลของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่สื่ออังกฤษเรียกว่า ‘เผด็จการ’
ทั้งนี้หนังสือพิมพ์ซันเดย์มิรเรอร์ ที่เกาะติดรายงานกระแสข่าวการปลดอีริคส์สัน ผู้จัดการทีมแมนฯ ซิตีต่อเนื่อง ขุดคุ้ยเรื่องของเศรษฐีเจ้าของสโมสรไปๆ มาๆ ล่าสุดได้ข่าวมาชิ้นหนึ่ง
เนื้อข่าวระบุถึงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างความประหลาดใจให้กับนักเตะแมนฯ ซิตี ด้วยการบังคับต้องโค้งคำนับให้เขาก่อนการแข่งขันจะเริ่ม โดยอ้างวัฒนธรรม ประเพณีไทย ที่ผู้น้อยต้องโค้งคำนับผู้ใหญ่ สร้างความงุนงนและไม่พอใจให้นักเตะซึ่งตอนแรกนึกว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ภายหลังเมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารที่เป็นคนไทยยืนยันก็ขำกันไม่ออก
ขณะที่แฟนบอลของสโมสรเริ่มไม่พอใจ ต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณมากขึ้นเรื่อยๆ จากพฤติกรรม คำสัมภาษณ์ที่แสดงออกให้เห็นถึงความพยายามใช้อำนาจอยู่เหนือเหตุผลด้วยการปลดอีริคส์สัน ถึงกับชูป้ายขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณในเกมของแมนฯ ซิตีหลังสุด
พ.ต.ท.ทักษิณ ทุ่มเงินกว่า 7,500 ล้านบาทซื้อสโมสรแมนฯ ซิตีเมื่อราวเดือนส.ค.ปี 2550 หลังจากถูกทำรัฐประหาร เร่ร่อนพักอยู่ที่อังกฤษ ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของหลายฝ่ายว่า เขาต้องการอะไรแน่? หลงใหลในเกมฟุตบอลจริงๆ หรือต้องการสร้างภาพ อยากได้ชื่อเสียง หรือกระทั่งเป็น ‘การเมือง’
เวลาผ่านไปนานนับปี บรรดาข้อสงสัยต่างๆ ก็ละลายด้วยพฤติกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณเอง
มิเชล พลาตินี่ อดีตนักเตะชื่อก้องโลกของฝรั่งเศส ปัจจุบันเป็นประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เป็นคนแรกๆ ที่จุดประเด็นที่ไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะจริงใจต่อการบริหารทีมฟุตบอลมากกว่าใช้เป็นแหล่งกระพือชื่อเสียงและเล่นการเมือง
จากนั้นก็มีผู้จัดการทีมฟุตบอลของอังกฤษหลายต่อ
หลายคนแสดงทัศนะไปในทิศทางเดียวกันกับพลาตินี่
มาวันนี้..ว่าไปแล้ว กล่าวถึงพฤติกรรมและการแสดงออกของพ.ต.ท.ทักษิณ กรณีแรกเรื่องธงชาติ และกรณีที่สอง กระแสข่าวปลดอีริคส์สันแล้วสื่อขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆ ออกมา ความจริงเป็นคนละเรื่องเดียวกันแต่เชื่อมโยงเข้าหากันอย่างบังเอิญ คือ เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็น ‘ทักษิณ ชินวัตร’
ตัวตน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง...
คนที่เชื่อตลอดมาว่า เงินซื้อความสำเร็จได้ คิดว่าโปรยเงินหว่านเงินออกไปแล้วสามารถทำให้ผู้คนหลงใหล และศรัทธา คิดว่าเงินสามารถซื้อจิตวิญญาณของคนได้
ดังนั้น การบังคับให้นักเตะทำความเคารพตัวเองก่อนลงแข่งขันของพ.ต.ท.ทักษิณ หรือการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เมื่อเห็นธงชาติปักชื่อตัวเองแขวนไว้ในสนามฟุตบอลของแมนฯ ซิตี จึงไม่น่าจะเป็นวัฒนธรรมประเพณีของไทย หรือฝรั่งที่กระทำการโดยไม่รู้เรื่อง
หากแต่น่าจะเป็นวัฒนธรรมประเพณีของ ‘ผู้เสพติดอำนาจ!’ เป็นวัฒนธรรมประเพณีส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ? ใช่ ไม่ใช่!
**ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th
แมนเชสเตอร์ ซิตี หรือแมนฯ ซิตี ตกเป็นข่าวใหญ่ในสองประเด็น คือ กรณีมีผู้นำธงชาติไทยไปแขวนไว้ในสนามโดยมีชื่อของพ.ต.ท.ทักษิณ ปักอยู่ในผืนธง และสอง กระแสข่าวการจะปลด สเวน โกรัน อีริคส์สัน ผู้จัดการทีมให้พ้นจากตำแหน่งของเจ้าของสโมสรคนไทย
กรณีแรก หลังจากค่าย ‘มติชน’ ตีพิมพ์ภาพและข่าว และหลายสื่อร่วมรายงานในเวลาต่อมาก็มีผู้วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และนำไปสู่การแจ้งความเพื่อให้มีการดำเนินการตามกฎหมาย
การวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวของคนที่ทราบข่าวนี้ หากเป็นคนปกติ ไม่มีความคิดเพี้ยนๆ (สำนวนภาษาที่นายจักรภพ เพ็ญแข มักใช้เรียกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล) ย่อมเชื่อเต็มหัวใจว่า มาจากพื้นฐานของ ‘จิตสำนึก’ ความเป็นคนไทยที่รักชาติ รักสถาบัน!
การตั้งคำถามถึงความเหมาะสม การกระทำอันไม่บังควรต่อผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ในวันเกิดเหตุก็นั่งชมเกมในสนามอยู่ด้วยจึงเป็นเรื่องที่ควรกระทำ หาใช่ประเด็นเรื่องของการจ้องทำลายกันอย่างที่ฝ่าย ‘นอมินี’ พยายามแก้ต่างแทนนาย กลบเกลื่อน เบี่ยงประเด็นแน่นอน
ตัวอย่างของ นายเจริญ มุกขจร ชาวจังหวัดอุดรธานี ที่ได้ส่ง Email สอบถามไปยัง นายอลิสแตร์ แมคคินทอช (Mr.Alistair Mackintosh) ประธานกรรมการบริหารสโมสร หรือซีอีโอ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในเรื่องที่ว่า 1. ใครเป็นคนสั่งให้ติดธงชาติไทยที่มีชื่อที่ไม่เหมาะสมติดอยู่บนอัฒจันทร์ของสนาม 2. การติดตั้งโฆษณาบริเวณดังกล่าวต้องจ่ายเงินจำนวนเท่าไร 3. ขอทราบอัตราค่าโฆษณาของสนาม และ 4. ใครเป็นคนอนุมัติให้ติดตั้งธงดังกล่าวในสนาม
กรณีนี้ นอกจากน่าชื่นชมยิ่งแล้วยังตอกย้ำ ‘หน้าที่พลเมืองไทย’ ให้ผู้มีอำนาจบริหารประเทศที่ไม่อินังขังขอบกับเรื่องราว พูดทีไรก็ยังย้ำแทนนายว่า จะชี้แจงได้ ไม่อาย
แม้ว่าในเวลาต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ จะชี้แจงเรื่องนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิในวันที่เขาเดินทางกลับเข้าประเทศเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “มันเป็นเรื่องที่วัฒนธรรมทางโน้นเขาไม่ถือ เขาก็เลยไม่รู้ จึงทำไปด้วยความปรารถนาดี แต่พอเราบอก เขาก็เสียใจ และเขาก็หยุด”...เรื่องนี้ก็คงไม่หยุดลง หรือ จบง่ายๆ
เบื้องต้นนั้น เหตุผลนี้ฟังขึ้นหรือไม่?อย่างไร? ก็คงเป็นดุลพินิจของแต่ละคนจะพิจารณา แต่สำหรับคนที่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับ ‘ระบอบทักษิณ’ ติดตามพฤติกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ มาต่อเนื่องแทบไม่ต้องรอให้ใครบอกก็...รู้ๆ กันอยู่ว่า กรณีเช่นนี้บ่งบอกถึง ‘จิตสำนึก’ ของใครบางคนนั้นบกพร่องแค่ไหน!
ช่วงที่พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ คนไทยจำนวนมากทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเช่นไร แต่กับ ‘ต่างชาติ’ แฟนบอลแมนฯ ซิตีอาจจะเพิ่งรู้ ซึ่งเป็นที่มาของประเด็นใหญ่ที่พวกเขากำลังให้ความสนใจในขณะนี้
นั่นคือ พฤติกรรมการบริหารทีมฟุตบอลของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่สื่ออังกฤษเรียกว่า ‘เผด็จการ’
ทั้งนี้หนังสือพิมพ์ซันเดย์มิรเรอร์ ที่เกาะติดรายงานกระแสข่าวการปลดอีริคส์สัน ผู้จัดการทีมแมนฯ ซิตีต่อเนื่อง ขุดคุ้ยเรื่องของเศรษฐีเจ้าของสโมสรไปๆ มาๆ ล่าสุดได้ข่าวมาชิ้นหนึ่ง
เนื้อข่าวระบุถึงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สร้างความประหลาดใจให้กับนักเตะแมนฯ ซิตี ด้วยการบังคับต้องโค้งคำนับให้เขาก่อนการแข่งขันจะเริ่ม โดยอ้างวัฒนธรรม ประเพณีไทย ที่ผู้น้อยต้องโค้งคำนับผู้ใหญ่ สร้างความงุนงนและไม่พอใจให้นักเตะซึ่งตอนแรกนึกว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ภายหลังเมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารที่เป็นคนไทยยืนยันก็ขำกันไม่ออก
ขณะที่แฟนบอลของสโมสรเริ่มไม่พอใจ ต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณมากขึ้นเรื่อยๆ จากพฤติกรรม คำสัมภาษณ์ที่แสดงออกให้เห็นถึงความพยายามใช้อำนาจอยู่เหนือเหตุผลด้วยการปลดอีริคส์สัน ถึงกับชูป้ายขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณในเกมของแมนฯ ซิตีหลังสุด
พ.ต.ท.ทักษิณ ทุ่มเงินกว่า 7,500 ล้านบาทซื้อสโมสรแมนฯ ซิตีเมื่อราวเดือนส.ค.ปี 2550 หลังจากถูกทำรัฐประหาร เร่ร่อนพักอยู่ที่อังกฤษ ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของหลายฝ่ายว่า เขาต้องการอะไรแน่? หลงใหลในเกมฟุตบอลจริงๆ หรือต้องการสร้างภาพ อยากได้ชื่อเสียง หรือกระทั่งเป็น ‘การเมือง’
เวลาผ่านไปนานนับปี บรรดาข้อสงสัยต่างๆ ก็ละลายด้วยพฤติกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณเอง
มิเชล พลาตินี่ อดีตนักเตะชื่อก้องโลกของฝรั่งเศส ปัจจุบันเป็นประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เป็นคนแรกๆ ที่จุดประเด็นที่ไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะจริงใจต่อการบริหารทีมฟุตบอลมากกว่าใช้เป็นแหล่งกระพือชื่อเสียงและเล่นการเมือง
จากนั้นก็มีผู้จัดการทีมฟุตบอลของอังกฤษหลายต่อ
หลายคนแสดงทัศนะไปในทิศทางเดียวกันกับพลาตินี่
มาวันนี้..ว่าไปแล้ว กล่าวถึงพฤติกรรมและการแสดงออกของพ.ต.ท.ทักษิณ กรณีแรกเรื่องธงชาติ และกรณีที่สอง กระแสข่าวปลดอีริคส์สันแล้วสื่อขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆ ออกมา ความจริงเป็นคนละเรื่องเดียวกันแต่เชื่อมโยงเข้าหากันอย่างบังเอิญ คือ เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็น ‘ทักษิณ ชินวัตร’
ตัวตน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง...
คนที่เชื่อตลอดมาว่า เงินซื้อความสำเร็จได้ คิดว่าโปรยเงินหว่านเงินออกไปแล้วสามารถทำให้ผู้คนหลงใหล และศรัทธา คิดว่าเงินสามารถซื้อจิตวิญญาณของคนได้
ดังนั้น การบังคับให้นักเตะทำความเคารพตัวเองก่อนลงแข่งขันของพ.ต.ท.ทักษิณ หรือการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เมื่อเห็นธงชาติปักชื่อตัวเองแขวนไว้ในสนามฟุตบอลของแมนฯ ซิตี จึงไม่น่าจะเป็นวัฒนธรรมประเพณีของไทย หรือฝรั่งที่กระทำการโดยไม่รู้เรื่อง
หากแต่น่าจะเป็นวัฒนธรรมประเพณีของ ‘ผู้เสพติดอำนาจ!’ เป็นวัฒนธรรมประเพณีส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ? ใช่ ไม่ใช่!
**ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th