รายงานระบุเด็กผู้ชายจะตั้งใจเรียนและมีสมาธิดีกว่าเมื่อในห้องไม่มีเด็กผู้หญิง โดยจากการศึกษาชั้นเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนรัฐบาลทั่วเมืองผู้ดีพบว่า ยิ่งสัดส่วนนักเรียนหญิงในห้องมากขึ้นเท่าไร ผลการเรียนของเด็กชายจะยิ่งแย่ลงเท่านั้น
ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสตอล อังกฤษ ขัดแย้งกับรายงานหลายฉบับก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า เด็กผู้ชายมักเรียนดีขึ้นในโรงเรียนสหศึกษา เพราะถูกกระตุ้นจากปรากฏการณ์ในการพัฒนาตัวเองของนักเรียนหญิง
สตีเวน พราวด์ ผู้นำการวิจัยล่าสุด เปิดเผยว่าผลการวิจัยนี้บ่งชี้ว่าเด็กผู้ชายทุกวัยจะเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าหากอยู่ในห้องเรียนที่มีเด็กผู้หญิงน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
“สมมติฐานของเราคือ ยิ่งมีเด็กผู้หญิงมากเท่าไหร่ เด็กผู้ชายก็จะกระตือรือร้นน้อยลง
“เนื่องจากเด็กผู้หญิงมักเก่งภาษาอังกฤษ ดังนั้น ถ้าในชั้นมีนักเรียนหญิงมากกว่านักเรียนชาย และมีแนวโน้มว่าครูจะใช้วิธีให้เด็กสมัครใจตอบคำถามเอง เด็กผู้ชายมักเลือกที่จะอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เด็กผู้หญิงแสดงความสามารถ เท่ากับว่าเด็กผู้หญิงมีความมั่นใจในห้องเรียนมากขึ้น
“อีกหนึ่งความเป็นไปได้คือ มีความเชื่อมโยงบางระหว่างเพศของครูกับวิธีการสอน ตัวอย่างเช่นถ้าครูผู้หญิงสอนในห้องที่มีนักเรียนหญิงเป็นส่วนใหญ่ ครูอาจให้ความสนใจกับนักเรียนหญิงมากกว่า ซึ่งนั่นอาจส่งผลลบต่อนักเรียนชาย”
มิก บรูคส์ เลขาธิการใหญ่สมาคมครูใหญ่แห่งชาติของอังกฤษ แสดงความเห็นว่า แม้ในห้องเรียนมีเด็กผู้ชายมากกว่า แต่เด็กผู้ชายอาจรู้สึกท่วมท้นและจนมุมกับความสามารถของเด็กหญิง
บรูคส์เสริมว่า เขาไม่คิดว่าภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่เด็กผู้หญิงถนัดกว่า แต่โรงเรียนต่างๆ ควรพิจารณาว่าในการเรียนการสอนวิชานี้มีอคติโน้มเอียงไปทางเพศหญิงหรือไม่ ถ้ามีก็สมควรที่จะต้องหาทางแก้ไขกัน
มาร์กาเร็ต มอร์ริสซี จากสมาพันธ์ผู้ปกครองและครูแห่งชาติ ขานรับว่าขณะนี้มีเสียงเรียกร้องจากผู้ปกครองให้มีการฝึกอบรมครูในการจัดการกับสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียนที่มีนักเรียนหญิง-ชายในจำนวนที่ไม่สมดุลกัน
“ฉันคิดว่า ในห้องที่มีนักเรียนชายน้อยกว่า พวกเขาอาจรู้สึกขาดความมั่นใจที่จะยกมือเพื่อตอบคำถาม เพราะกลัวถูกเหยียดหยามถ้าตอบผิด”
ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสตอล อังกฤษ ขัดแย้งกับรายงานหลายฉบับก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า เด็กผู้ชายมักเรียนดีขึ้นในโรงเรียนสหศึกษา เพราะถูกกระตุ้นจากปรากฏการณ์ในการพัฒนาตัวเองของนักเรียนหญิง
สตีเวน พราวด์ ผู้นำการวิจัยล่าสุด เปิดเผยว่าผลการวิจัยนี้บ่งชี้ว่าเด็กผู้ชายทุกวัยจะเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าหากอยู่ในห้องเรียนที่มีเด็กผู้หญิงน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
“สมมติฐานของเราคือ ยิ่งมีเด็กผู้หญิงมากเท่าไหร่ เด็กผู้ชายก็จะกระตือรือร้นน้อยลง
“เนื่องจากเด็กผู้หญิงมักเก่งภาษาอังกฤษ ดังนั้น ถ้าในชั้นมีนักเรียนหญิงมากกว่านักเรียนชาย และมีแนวโน้มว่าครูจะใช้วิธีให้เด็กสมัครใจตอบคำถามเอง เด็กผู้ชายมักเลือกที่จะอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เด็กผู้หญิงแสดงความสามารถ เท่ากับว่าเด็กผู้หญิงมีความมั่นใจในห้องเรียนมากขึ้น
“อีกหนึ่งความเป็นไปได้คือ มีความเชื่อมโยงบางระหว่างเพศของครูกับวิธีการสอน ตัวอย่างเช่นถ้าครูผู้หญิงสอนในห้องที่มีนักเรียนหญิงเป็นส่วนใหญ่ ครูอาจให้ความสนใจกับนักเรียนหญิงมากกว่า ซึ่งนั่นอาจส่งผลลบต่อนักเรียนชาย”
มิก บรูคส์ เลขาธิการใหญ่สมาคมครูใหญ่แห่งชาติของอังกฤษ แสดงความเห็นว่า แม้ในห้องเรียนมีเด็กผู้ชายมากกว่า แต่เด็กผู้ชายอาจรู้สึกท่วมท้นและจนมุมกับความสามารถของเด็กหญิง
บรูคส์เสริมว่า เขาไม่คิดว่าภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่เด็กผู้หญิงถนัดกว่า แต่โรงเรียนต่างๆ ควรพิจารณาว่าในการเรียนการสอนวิชานี้มีอคติโน้มเอียงไปทางเพศหญิงหรือไม่ ถ้ามีก็สมควรที่จะต้องหาทางแก้ไขกัน
มาร์กาเร็ต มอร์ริสซี จากสมาพันธ์ผู้ปกครองและครูแห่งชาติ ขานรับว่าขณะนี้มีเสียงเรียกร้องจากผู้ปกครองให้มีการฝึกอบรมครูในการจัดการกับสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียนที่มีนักเรียนหญิง-ชายในจำนวนที่ไม่สมดุลกัน
“ฉันคิดว่า ในห้องที่มีนักเรียนชายน้อยกว่า พวกเขาอาจรู้สึกขาดความมั่นใจที่จะยกมือเพื่อตอบคำถาม เพราะกลัวถูกเหยียดหยามถ้าตอบผิด”
