นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. กล่าวภายหลังการประชุมว่ากกต.มีมติให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยเรื่องร้องคัดค้าน และปัญหา หรือข้อโต้แย้ง คณะที่ 10 ที่มีนายอิสระ ลิ้มศิริวงศ์ เป็นประธานไปพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงในกรณีที่ กกต.ได้รับคำร้องจาก ป.ป.ช.ให้พิจารณาคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข โดยให้พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ทั้งนี้ เหตุที่ต้องมีการมอบให้คณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าวไปพิจารณาเนื่องจาก ว่า แม้ตามรัฐธรรมนูญจะเขียนให้กกต. สามารถดำเนินการส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่มีประเด็นว่าเมื่อหน่วยงานอื่นได้มีการส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว กกต.จะต้องส่งเรื่องไปด้วยหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าหากไม่พิจารณาให้รอบคอบ โดยมองว่าหน่วยงานอื่นส่งเรื่องไปแล้ว กกต.ไม่จำเป็นต้องส่งก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ที่ให้ทางสำนักกฎหมายและคดีของกกต.ไปพิจารณาในประเด็นข้อกฎหมาย ก็มีการรายงานต่อที่ประชุมเพียงว่า อำนาจการวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้เสนอว่า กกต. ควรจะดำเนินการอย่างไร เมื่อถามว่า คณะอนุกรรมการฯ จะมีการพิจารณาว่า กกต.มีอำนาจในการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยหรือไม่ นายสุทธิพล กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการฯ เช่นเดียวกับอาจจะมีการพิจารณาว่า นายไชยา กระทำผิดจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวว่า คณะอนุกรมการฯ ที่กกต.ตั้งขึ้นจะเป็นผู้พิจารณาว่า จะต้องมีการเชิญนายไชยา มาแก้ข้อกล่าวหาหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของสำนักกฎหมายได้เสนอในส่วนของประเด็นข้อกฎหมาย ว่า การสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายไชยา เป็นไปตามมาตรา 182 ( 7 ) ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งในวรรค 3 ของมาตราดังกล่าวได้บัญญัติให้กกต.เป็นผู้ส่งเรื่องความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วย ซึ่งเห็นว่าการที่รัฐธรรมนูญ มีบทบัญญัติดังกล่าว ก็เพื่อป้องกันกรณีที่หากฝ่ายรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากและสามารถกุมอำนาจได้ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ช่วยเหลือกันไม่ยอมดำเนินการส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้ทางวุฒิสภาได้มีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว ที่ประชุมจึงพิจารณาว่า กกต.จะยังคงต้องทำหน้าที่ดังกล่าวด้วยหรือไม่ ประกอบกับกรณีดังกล่าว กกต.ไม่ได้เป็นผู้สืบสวนสอบสวนเอง หากมีการส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา จะเท่ากับว่า กกต.ถือว่าเป็นผู้ยื่นคำร้องโดยมีนายไชยา เป็นคู่กรณี ซึ่งจะแตกต่างกับกรณีที่วุฒิสภา ส่งคำร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในขณะนี้ ที่แม้ประธานวุฒิสภา จะเป็นผู้ส่ง แต่ก็เป็นการส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นการเอาองค์กรไปคู่ความด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ที่ให้ทางสำนักกฎหมายและคดีของกกต.ไปพิจารณาในประเด็นข้อกฎหมาย ก็มีการรายงานต่อที่ประชุมเพียงว่า อำนาจการวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้เสนอว่า กกต. ควรจะดำเนินการอย่างไร เมื่อถามว่า คณะอนุกรรมการฯ จะมีการพิจารณาว่า กกต.มีอำนาจในการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยหรือไม่ นายสุทธิพล กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการฯ เช่นเดียวกับอาจจะมีการพิจารณาว่า นายไชยา กระทำผิดจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวว่า คณะอนุกรมการฯ ที่กกต.ตั้งขึ้นจะเป็นผู้พิจารณาว่า จะต้องมีการเชิญนายไชยา มาแก้ข้อกล่าวหาหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของสำนักกฎหมายได้เสนอในส่วนของประเด็นข้อกฎหมาย ว่า การสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายไชยา เป็นไปตามมาตรา 182 ( 7 ) ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งในวรรค 3 ของมาตราดังกล่าวได้บัญญัติให้กกต.เป็นผู้ส่งเรื่องความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วย ซึ่งเห็นว่าการที่รัฐธรรมนูญ มีบทบัญญัติดังกล่าว ก็เพื่อป้องกันกรณีที่หากฝ่ายรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากและสามารถกุมอำนาจได้ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ช่วยเหลือกันไม่ยอมดำเนินการส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้ทางวุฒิสภาได้มีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว ที่ประชุมจึงพิจารณาว่า กกต.จะยังคงต้องทำหน้าที่ดังกล่าวด้วยหรือไม่ ประกอบกับกรณีดังกล่าว กกต.ไม่ได้เป็นผู้สืบสวนสอบสวนเอง หากมีการส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา จะเท่ากับว่า กกต.ถือว่าเป็นผู้ยื่นคำร้องโดยมีนายไชยา เป็นคู่กรณี ซึ่งจะแตกต่างกับกรณีที่วุฒิสภา ส่งคำร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในขณะนี้ ที่แม้ประธานวุฒิสภา จะเป็นผู้ส่ง แต่ก็เป็นการส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นการเอาองค์กรไปคู่ความด้วย
