รอยเตอร์ - มูลนิธิเฝ้าระวังภัยอินเทอร์เน็ตหรือ Internet Watch Foundation องค์กรการกุศลซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยสหภาพยุโรปและบริษัทในอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต เผยผลวิจัยประจำปี พบเว็บไซต์ล่วงละเมิดเด็กมีจำนวนถึงราว 3,000 แห่งทั่วโลก ระบุว่าหากนานาประเทศร่วมมือกันก็จะสามารถปิดเว็บเถื่อนเหล่านี้ได้หลายร้อยแห่ง
มูลนิธิแห่งนี้กล่าวว่า การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ทั่วโลก ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาเว็บไซต์ล่วงละเมิดเด็กในปัจจุบัน ด้วยการสำรวจว่าเว็บไซต์ที่จำหน่ายภาพและวีดีโอล่วงละเมิดเด็กมีจำนวนเท่าใดในขณะนี้ ผลคือเว็บไซต์กว่า 3,000 แห่งเข้าข่ายโดยที่มีกว่าสามในสี่จัดทำในรูปการพาณิชย์ และมักจะเป็นฝีมือของพวกแก๊งอาชญากรรมที่พยายามหาเงินจากภาพและวิดีโอเหล่านี้
"นี่คือครั้งแรกที่มีการเปิดเผยตัวเลขปัญหาเว็บไซต์ล่วงละเมิดเด็กที่แท้จริง และชัดเจนว่าปัญหานี้มีทางออก" คำแถลงของมูลนิธิระบุ ขณะที่ ปีเตอร์ รอบบินส์ ประธานบริหารของมูลนิธิเชื่อว่า ผลการสำรวจนี้จะผลักดันให้เกิดความร่วมมือปิดเว็บไซต์เหล่านี้ในระดับโลก "การร่วมมือกันทั่วโลกจะทำให้ภาพเลวร้ายเหล่านี้ถูกลบออกจากอินเทอร์เน็ตได้"
รอบบินส์ระบุว่า ตัวเลขสถิติเว็บไซต์ละเมิดเด็กนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับโลกอินเทอร์เน็ตที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง
นอกจากจะเรียกร้องให้ภาครัฐบาล ตำรวจ และอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตในประเทศต่างๆร่วมมือกันสืบสวนและกำจัดเว็บไซต์ป่าเถื่อนเหล่านี้ ในรายงานยังระบุว่า ปัญหาภาพและวีดีโอละเมิดเด็กบนโลกออนไลน์นั้นไม่ได้จำกัดวงเฉพาะในเว็บไซต์ แต่อยู่ที่ขบวนการแบ่งปันไฟล์ระหว่างบุคคลด้วย
โฆษกผู้หนึ่งของมูลนิธิให้ข้อมูลว่า รัสเซียและสหรัฐฯคือประเทศที่ตั้งโฮสต์หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งให้บริการภาพละเมิดเด็กมากที่สุดในโลก ซึ่งที่ผ่านมา การปิดเว็บไซต์นั้นดำเนินการได้ยากเนื่องจากผู้ให้บริการเปลี่ยนแปลงโฮสต์หลากบริษัทหลายประเทศอยู่ตลอดเวลา ส่วนเด็กที่เป็นเหยื่อซึ่งปรากฏในภาพถ่ายนั้นมาจากหลายประเทศ ยากที่จะระบุชัดเจน
สถิติที่น่าสนใจมากคือ ตั้งแต่ปี 2003 สัดส่วนเว็บไซต์ละเมิดเด็กที่ใช้โฮสต์ในประเทศอังกฤษมีน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ลดลงจาก 18 เปอร์เซ็นต์ที่สำรวจได้ในปี 1997 จุดนี้ในรายงานระบุว่า โฮสต์ที่ตรวจสอบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ผิดกฏหมายในประเทศอังกฤษจะถูกปิดในไม่กี่ชั่วโมง ถือเป็นสถิติที่สะท้อนให้เห็นถึงการปราบปรามที่มีประสิทธิภาพของสหราชอาณาจักร
มูลนิธิแห่งนี้กล่าวว่า การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ทั่วโลก ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาเว็บไซต์ล่วงละเมิดเด็กในปัจจุบัน ด้วยการสำรวจว่าเว็บไซต์ที่จำหน่ายภาพและวีดีโอล่วงละเมิดเด็กมีจำนวนเท่าใดในขณะนี้ ผลคือเว็บไซต์กว่า 3,000 แห่งเข้าข่ายโดยที่มีกว่าสามในสี่จัดทำในรูปการพาณิชย์ และมักจะเป็นฝีมือของพวกแก๊งอาชญากรรมที่พยายามหาเงินจากภาพและวิดีโอเหล่านี้
"นี่คือครั้งแรกที่มีการเปิดเผยตัวเลขปัญหาเว็บไซต์ล่วงละเมิดเด็กที่แท้จริง และชัดเจนว่าปัญหานี้มีทางออก" คำแถลงของมูลนิธิระบุ ขณะที่ ปีเตอร์ รอบบินส์ ประธานบริหารของมูลนิธิเชื่อว่า ผลการสำรวจนี้จะผลักดันให้เกิดความร่วมมือปิดเว็บไซต์เหล่านี้ในระดับโลก "การร่วมมือกันทั่วโลกจะทำให้ภาพเลวร้ายเหล่านี้ถูกลบออกจากอินเทอร์เน็ตได้"
รอบบินส์ระบุว่า ตัวเลขสถิติเว็บไซต์ละเมิดเด็กนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับโลกอินเทอร์เน็ตที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง
นอกจากจะเรียกร้องให้ภาครัฐบาล ตำรวจ และอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตในประเทศต่างๆร่วมมือกันสืบสวนและกำจัดเว็บไซต์ป่าเถื่อนเหล่านี้ ในรายงานยังระบุว่า ปัญหาภาพและวีดีโอละเมิดเด็กบนโลกออนไลน์นั้นไม่ได้จำกัดวงเฉพาะในเว็บไซต์ แต่อยู่ที่ขบวนการแบ่งปันไฟล์ระหว่างบุคคลด้วย
โฆษกผู้หนึ่งของมูลนิธิให้ข้อมูลว่า รัสเซียและสหรัฐฯคือประเทศที่ตั้งโฮสต์หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งให้บริการภาพละเมิดเด็กมากที่สุดในโลก ซึ่งที่ผ่านมา การปิดเว็บไซต์นั้นดำเนินการได้ยากเนื่องจากผู้ให้บริการเปลี่ยนแปลงโฮสต์หลากบริษัทหลายประเทศอยู่ตลอดเวลา ส่วนเด็กที่เป็นเหยื่อซึ่งปรากฏในภาพถ่ายนั้นมาจากหลายประเทศ ยากที่จะระบุชัดเจน
สถิติที่น่าสนใจมากคือ ตั้งแต่ปี 2003 สัดส่วนเว็บไซต์ละเมิดเด็กที่ใช้โฮสต์ในประเทศอังกฤษมีน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ลดลงจาก 18 เปอร์เซ็นต์ที่สำรวจได้ในปี 1997 จุดนี้ในรายงานระบุว่า โฮสต์ที่ตรวจสอบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ผิดกฏหมายในประเทศอังกฤษจะถูกปิดในไม่กี่ชั่วโมง ถือเป็นสถิติที่สะท้อนให้เห็นถึงการปราบปรามที่มีประสิทธิภาพของสหราชอาณาจักร