00 แม้ที่ผ่านมา “ลุงหมัก” พยายามสลัดภาพดิ้นหนีสภาพความเป็น “หุ่นเชิด” อยู่ตลอดเวลา พยายามอาศัยลูกเก๋า ใช้ลีลาโวหารแบบนักโต้วาทีเก่า พยายามหลบเลี่ยงมาตลอด แต่สังคมก็ยังไม่ค่อยเชื่อ “น้ำยา” เท่าใดนัก เพราะถ้าเปรียบกรณี “เล่นหุ้น” แล้วสิ่งที่บรรดา “เซียน” เล็กเซียนน้อยต้องพิจารณาเป็นองค์ประกอบหลักก็คือ ปัจจัยพื้นฐาน มีต้นทุนภายในบริษัทนั้นมากแค่ไหน
00 ขณะเดียวกันถ้าโฟกัสไปที่ “หมัก” ล้วนๆ ก็จะพบความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือมีอ็อปชั่นแค่มาเป็นหัวหน้าพรรคขัดตาทัพ พร้อมกับข้อเสนอ “บางอย่าง” ที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ไม่รู้เป็นเพราะความซวย หรือโชคดีของประเทศนี้ก็ไม่รู้ “พลังแม้ว” กลับชนะเลือกตั้งโดยมีรัฐบาล“ขิงแก่” โหล่ยโท่ยเป็นแนวร่วมมุมกลับช่วยหาเสียงทางอ้อม ลุงหมัก ก็ต้องเป็นนายกฯจะไปขัดขวางก็ไม่ได้ เพราะหน้าฉากชูป้ายประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้งทุกลมหายใจ ขายชาวโลกไปทั่ว
00 ทีนี้มาว่ากันถึงข้อมูลจริงกันต่อว่า แม้จะเป็นหัวหน้าพรรค แต่ข้างล่างล้วนแต่คนแปลกหน้า หรือบางคนอยู่ตรงกันข้าม เคยขับเคี่ยวกันมาก่อนก็มี ดังนั้นถ้าให้สรุปก็คือ อำนาจของสมัคร ที่มีอยู่ก็คืออำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ส่วนอำนาจ-บารมี นอกเหนือจากนี้ ถ้าให้พูดกันตรงๆ ถือว่ายังห่างชั้นคนระดับ“หัวหน้าพรรค”
00 สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นชัดๆ มาหมาดๆ ก็จะเห็นจากคำพูดที่ดูขึงขังผ่านรายการ “สนทนาประสาสมัคร" ออกคำสั่งกลางอากาศให้ให้ลูกพรรคอย่าง“ประชา ประสพดี” ส.ส.สมุทรปราการ ยุติการเคลื่อนไหวก่อม็อบตอบโต้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีกำหนดประชุมสัมมนากันที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ในวันศุกร์ที่ 28 มี.ค.นี้ โดยอ้างว่าเดี๋ยวจะตกเป็นเหยื่อ ถึงกับย้ำเสียงดังๆสำทับว่า ให้หยุด
00 แต่ผลออกมาตรงกันข้าม ไม่ได้ผล ไม่มีใครฟัง เพราะคนเหล่านี้ยังยืนกรานเดินหน้าต่อไป หรืออีกเรื่องที่เป็น “ประเด็นร้อน” คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล่าสุด “ลุงหมัก” ถึงกับลงทุนแสดงวิชั่นอย่างต่อเนื่องสองสามวันติดต่อกัน ผลักให้รื้อกันทั้งฉบับ โดยยกเอาฉบับปี 2540 เป็นแม่แบบเพื่อความรวดเร็ว
00 อย่างไรก็ดี แม้จะเร่งกันอย่างนี้ก็เถอะ มันยังไม่เร็วพอและไม่ทันใจบรรดา “ขาใหญ่” ทั้งหลาย เพราะถ้าทำตามไอเดียดังกล่าวมันจะไม่ทันการณ์ เรื่องคดียุบพรรค ที่กำลังจ่อคอหอยมาทุกขณะ ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม เร่งมือเอาเฉพาะมาตรา 237 ว่าด้วยเรื่องการประหารกรรมการบริหารพรรคก่อน ส่วนประเด็นอื่นแม้เร่งด่วนก็จริง แต่เอาไว้ทีหลัง ไม่เชื่อก็ให้พิจารณาจากท่าทีของ มือเคลื่อนไหวฝ่ายกฎหมายอย่าง “ชูศักดิ์ ศิรินิล” ก็ได้
00 สรุปก็คือ เห็นหมักเหมือน “หัวหลักหัวตอ” เข้าไปทุกที พูดไปก็ไม่มีใครฟัง อีกอย่างถ้าให้เดา งานนี้ไหนๆ ก็เสี่ยงอยู่แล้ว เดินหน้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงกันให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ต้องเร่งให้ทันก่อนคดียุบพรรคสรุป ไม่ต้องไปสนใจหัวหน้าพรรค เพราะถึงฝั่งฝันตอนแก่ไร้อนาคตทางการเมืองไปแล้ว สมัยหน้าก็ล้างมือ ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องยุบ-ไม่ยุบ หรือถูกตัดสิทธิ์การเมืองอีกต่อไป นี่แหละถึงบอกว่า คนที่มาแต่ตัว ไม่มีต้นทุน มันก็เป็นแบบนี้แหละ !!
00 ขณะเดียวกันถ้าโฟกัสไปที่ “หมัก” ล้วนๆ ก็จะพบความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือมีอ็อปชั่นแค่มาเป็นหัวหน้าพรรคขัดตาทัพ พร้อมกับข้อเสนอ “บางอย่าง” ที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ไม่รู้เป็นเพราะความซวย หรือโชคดีของประเทศนี้ก็ไม่รู้ “พลังแม้ว” กลับชนะเลือกตั้งโดยมีรัฐบาล“ขิงแก่” โหล่ยโท่ยเป็นแนวร่วมมุมกลับช่วยหาเสียงทางอ้อม ลุงหมัก ก็ต้องเป็นนายกฯจะไปขัดขวางก็ไม่ได้ เพราะหน้าฉากชูป้ายประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้งทุกลมหายใจ ขายชาวโลกไปทั่ว
00 ทีนี้มาว่ากันถึงข้อมูลจริงกันต่อว่า แม้จะเป็นหัวหน้าพรรค แต่ข้างล่างล้วนแต่คนแปลกหน้า หรือบางคนอยู่ตรงกันข้าม เคยขับเคี่ยวกันมาก่อนก็มี ดังนั้นถ้าให้สรุปก็คือ อำนาจของสมัคร ที่มีอยู่ก็คืออำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ส่วนอำนาจ-บารมี นอกเหนือจากนี้ ถ้าให้พูดกันตรงๆ ถือว่ายังห่างชั้นคนระดับ“หัวหน้าพรรค”
00 สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นชัดๆ มาหมาดๆ ก็จะเห็นจากคำพูดที่ดูขึงขังผ่านรายการ “สนทนาประสาสมัคร" ออกคำสั่งกลางอากาศให้ให้ลูกพรรคอย่าง“ประชา ประสพดี” ส.ส.สมุทรปราการ ยุติการเคลื่อนไหวก่อม็อบตอบโต้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีกำหนดประชุมสัมมนากันที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ในวันศุกร์ที่ 28 มี.ค.นี้ โดยอ้างว่าเดี๋ยวจะตกเป็นเหยื่อ ถึงกับย้ำเสียงดังๆสำทับว่า ให้หยุด
00 แต่ผลออกมาตรงกันข้าม ไม่ได้ผล ไม่มีใครฟัง เพราะคนเหล่านี้ยังยืนกรานเดินหน้าต่อไป หรืออีกเรื่องที่เป็น “ประเด็นร้อน” คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล่าสุด “ลุงหมัก” ถึงกับลงทุนแสดงวิชั่นอย่างต่อเนื่องสองสามวันติดต่อกัน ผลักให้รื้อกันทั้งฉบับ โดยยกเอาฉบับปี 2540 เป็นแม่แบบเพื่อความรวดเร็ว
00 อย่างไรก็ดี แม้จะเร่งกันอย่างนี้ก็เถอะ มันยังไม่เร็วพอและไม่ทันใจบรรดา “ขาใหญ่” ทั้งหลาย เพราะถ้าทำตามไอเดียดังกล่าวมันจะไม่ทันการณ์ เรื่องคดียุบพรรค ที่กำลังจ่อคอหอยมาทุกขณะ ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม เร่งมือเอาเฉพาะมาตรา 237 ว่าด้วยเรื่องการประหารกรรมการบริหารพรรคก่อน ส่วนประเด็นอื่นแม้เร่งด่วนก็จริง แต่เอาไว้ทีหลัง ไม่เชื่อก็ให้พิจารณาจากท่าทีของ มือเคลื่อนไหวฝ่ายกฎหมายอย่าง “ชูศักดิ์ ศิรินิล” ก็ได้
00 สรุปก็คือ เห็นหมักเหมือน “หัวหลักหัวตอ” เข้าไปทุกที พูดไปก็ไม่มีใครฟัง อีกอย่างถ้าให้เดา งานนี้ไหนๆ ก็เสี่ยงอยู่แล้ว เดินหน้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงกันให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ต้องเร่งให้ทันก่อนคดียุบพรรคสรุป ไม่ต้องไปสนใจหัวหน้าพรรค เพราะถึงฝั่งฝันตอนแก่ไร้อนาคตทางการเมืองไปแล้ว สมัยหน้าก็ล้างมือ ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องยุบ-ไม่ยุบ หรือถูกตัดสิทธิ์การเมืองอีกต่อไป นี่แหละถึงบอกว่า คนที่มาแต่ตัว ไม่มีต้นทุน มันก็เป็นแบบนี้แหละ !!
